ค่าจ้างแบ่งออกพิจารณาได้ดังนี้ ๑. ค่าจ้างจะต้องเป็นเงิน เท่านั้น ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับเดิม ค่าจ้างรวมถึงสิ่งของด้วย ดังนั้น ต่อไปนี้ของที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างจะไม่น่านำมาคำนวณรวมเป็นค่าจ้าง ๒. นายจ้างและลูกจ้างตกลงกำหนดจำนวนเงินกัน ส่วนตกลงกันอย่างไรก็ต้องดูถ้อยคำต่อไปนี้ คือ ตกลงกัน “ตามสัญญาจ้าง” คำว่าสัญญาจ้างนั้น มาตรา ๕ บัญญัติว่า
สัญญาจ้าง หมายความว่า สัญญาไม่ว่าเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาระบุชัดเจนหรือเป็นที่เข้าใจโดยปริยายซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่านายจ้างตกลงจะให้ค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่ทำงานให้ ๓. จ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงาน ซึ่งหมายถึงเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน ต้องมีวัตถุประสงค์ที่จะจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานเท่านั้น ถ้าจ่ายโดยมีวัตถุประสงค์เป็นอย่างอื่น เช่น จ่ายเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างในเรื่องที่พักอาศัย (ค่าเช่าบ้าน) จ่ายเพื่อช่วยเหลือการศึกษาของบุตรลูกจ้าง (ค่าเล่าเรียน) เงินจำนวนนั้นต้องถือว่าไม่ใช่ค่าจ้างเพราะไม่ได้ตอบแทนการทำงานโดยตรง ๔. ค่าจ้างจะต้องตอบแทนการทำงานสำหรับระยะเวลาทำงานปกติ ซึ่งหมายถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้เฉพาะที่ตอบแทนการทำงานในช่วงระยะเวลาทำงานปกติที่นายจ้างได้กำหนดไว้ตามมาตรา ๒๓ ส่วนเงินที่ตอบแทนการทำงานในช่วงระยะเวลาอื่น (เช่นหลังเวลาเลิกงานแล้วหรือก่อนเวลาเข้าทำงานหรือในวันหยุด) เงินจำนวนนั้นก็ไม่ใช่ค่าจ้าง แต่อาจจะเป็นเงินประเภทที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น เช่น ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด หรือค่าล่วงเวลาในวันหยุดเป็นต้น การจ่ายค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่ลูกจ้างนั้นมี ๒ ประเภท คือ ๑. การจ่ายค่าตอบแทนในการทำงานโดยถือระยะเวลาเป็นสำคัญ (Time rate) หมายถึง การจ่ายค่าจ้างที่ถือหน่วยระยะเวลาเป็นหลักในการคำนวณ ทั้งนี้ไม่ว่าลูกจ้างจะทำงานได้ผลงานมากน้อยเพียงใด ซึ่งกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าระยะเวลาที่จ่ายกันนั้น อาจจะเป็นการกำหนดเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายระยะเวลาอย่างอื่นก็ได้ คำว่า “ระยะเวลาอย่างอื่น” นั้นสมัยโบราณมีการจ้างเป็นรายปักษ์ หรือรายไตรมาส หรือรายปี เป็นอาทิ๒. การจ่ายค่าตอบแทนในการทำงานโดยถือตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้เป็นสำคัญ (Piece Rate) หมายถึงการจ่ายค่าจ้างที่ถือผลงานแต่ละหน่วยที่ลูกจ้างทำได้เป็นหลักในการคำนวณทั้งนี้ไม่ว่าลูกจ้างใช้ระยะเวลาในการทำงานนานเท่าใดก็ตาม เมื่อลูกจ้างได้ผลงานออกมาเท่าใดก็ตามจะคำนวณค่าจ้างไปตามจำนวนนับของผลงานนั้น เช่น การกำหนดค่าจ้างในการทำงานต่อโต๊ะเป็นตัว เป่าแก้วเป็นโหลเงินที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่ถือว่าเป็นค่าจ้าง ๑. เบี้ยเลี้ยง ๒. ค่าครองชีพ ๓. เงินค่านายหน้าหรือเงินประเภทเดียวกัน๔. ค่าพาหนะและเงินประเภทเดียวกัน ๕. ค่าน้ำมันรถ ๖. เงินพิเศษต่าง ๆ คือ เงินรางวัลพิเศษ
ประเด็นที่น่าสนใจ
เงินจำนวนใดไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรหากเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเพื่อเป็นการตอบแทนในการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานของสัญญาจ้าง หรือจ่ายให้แกลูกจ้างโดยมีลักษณะที่เป็นประจำและมีจำนวนที่แน่นอนโดยไม่เป็นการจ่ายค่าจ้างเพื่อประการอื่นๆ ย่อมถือได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นค่าจ้าง
เงินจำนวนใดๆไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรหากจ่ายเพื่อมีวัตถุประสงค์ในการเพื่อเป็นสวัสดิการแก่ลูกจ้าง
หรือเพื่อจูงใจให้ลูกจ้างทำงานเพิ่มขึ้น หรือเพื่อเป็นรางวัลแก่ลูกจ้าง หรือเพื่อช่วยเหลือลูกจ้าง หรือเพื่อชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ลูกจ้างได้ออกไปเพื่อกิจการของนายจ้างย่อมไม่ถือเป็นค่าจ้าง