หลังพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา นำมาซึ่งความโศกเศร้าของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่ากับความสูญเสียครั้งใหญ่หลวงที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้อง ต่างหลั่งไหลมาสู่ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ทุกช่องทาง ทั้งเฟซบุ๊ก ไลน์ และทวิตเตอร์ อย่างไม่ขาดสาย
ผู้ผลิตคอนเทนต์บนเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเว็บไซต์ข่าวและบันเทิง ต่างก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอ โดยเน้นไปที่บรรยากาศการแสดงความไว้อาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเฉพาะข่าวบันเทิงในช่วงนี้จะเน้นไปที่บรรยากาศจิตอาสาของบรรดาดารา นักร้อง นักแสดงที่ท้องสนามหลวง เนื่องจากงดกิจกรรมบันเทิงทั้งหมด
แต่ในขณะที่สื่อสังคมออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ข่าวสารและเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในด้านต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพูดกันแบบปากต่อปาก ไม่มีแหล่งที่มา ได้หลั่งไหลเข้ามามากขึ้น และประชาชนที่เห็นแล้วรู้สึกอินและเห็นด้วย ต่างก็ช่วยกันส่งต่อโดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มา
กลายเป็นโอกาสของ เว็บคลิกเบท (Clickbait) ที่มักจะคัดลอกเรื่องราวที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน นำไปพาดหัวหวือหวาและสร้างอารมณ์กับผู้ที่พบเห็น ก่อนที่จะมีการแชร์ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นโดยไม่มีตัวตน มุ่งหวังที่จะได้ส่วนแบ่งจากการที่แบนเนอร์โฆษณาแสดงผล แต่ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลอย่างผิด ๆ อาจเป็นการสร้างความเสื่อมเสียต่อพระเกียรติยศโดยไม่รู้ตัว
แต่คนทำเว็บไซต์พวกนี้ไม่เปิดเผยตัวตน ไม่มีความสำนึกผิดชอบชั่วดีแต่อย่างใด กระหายแต่ยอดวิวแบนเนอร์โฆษณาเพียงอย่างเดียว หากข้อมูลไหนผิด ทำได้แค่เพียงลบข่าวออกจากระบบ แต่ลิงก์ยังคงอยู่ในระบบเฟซบุ๊ก ที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือ แม้เนื้อหาจะลบไปแล้ว แต่หน้า 404 Page Not Found ก็ยังมีแบนเนอร์โฆษณาตามมาด้วย
ที่เลวร้ายยิ่งกว่า คือ เว็บคลิกเบทหลายแห่งมักจะนำข้อมูลที่มีเนื้อหาอันไม่พึงประสงค์ สุ่มเสี่ยงต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นำมาขึ้นเว็บไซต์โดยปราศจากการกลั่นกรอง ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวยังคงอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์นั้น ๆ จนถึงทุกวันนี้ หากเป็นสื่อกระแสหลักจะระมัดระวังการนำเสนอ แม้เป็นไปได้ยากที่ข่าวจะไม่ผิดพลาดเลย แต่ก็ยังต้องกลั่นกรองในที่สุด
การจัดอันดับสถิติเว็บไทยอย่างทรูฮิตส์ (Truehits) ปัจจุบันรับผิดชอบโดย บริษัท ศูนย์วิจัยนวัตกรรมอินเทอร์เน็ตไทย จำกัด เปิดกว้างในการรับสมาชิกมากจนเกินไป เพียงแค่สนับสนุนเริ่มต้นปีละ 1,800 บาท โดยไม่มีการคัดกรองสมาชิกว่ามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งหรือไม่ บางเว็บไซต์ลงที่อยู่สำหรับติดต่อโฆษณาเป็นเพียงแค่อีเมล หรือเบอร์โทรศัพท์มือถือเท่านั้น
วันหนึ่งได้ลองเข้าไปชมการจัดอันดับเว็บไซต์ในประเทศไทยของทรูฮิตส์ พบว่ามีเว็บคลิกเบทติดอันดับต้น ๆ จำนวนมาก โดยเว็บไซต์อันดับสาม หน้าเว็บเพจที่มีคนเข้ามาดูมากที่สุด พาดหัวว่า “เผยเหตุผล “นายกตู่” ไม่แถลงการณ์สดผ่านโทรทัศน์ เพราะอ่านไปร้องไห้ไป” ซึ่งนำมาจากผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง ที่อ้างว่าญาติเป็นคนตัดต่อคลิปนายกรัฐมนตรีแถลง
ส่วนเว็บไซต์อันดับสี่ หน้าเว็บเพจที่มีคนเข้ามาดูมากที่สุด พาดหัวว่า “เจาะลึกคำทำนายแผ่นดิน ร.9 ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง” ซึ่งพบว่าเป็น “ฟอร์เวิร์ดเมล” คลาสสิก ที่ทุกวันนี้ยังไม่มีที่มาอย่างชัดเจนว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม ได้เทศนาเช่นนั้นจริงหรือไม่ เพราะมรณภาพไปเมื่อปี พ.ศ. 2415
สะท้อนให้เห็นคุณภาพของคนทำเว็บยุคนี้ ที่มักจะคัดลอกเนื้อหาแบบง่ายเข้าว่า ส่วนคนอ่านเพียงแค่เชื่อพาดหัวก็คลิกไปแล้ว คนทำเว็บได้เงิน แต่ประชาชนได้ความเข้าใจผิดไปสื่อสารกับคนอื่น หากพบว่ากลายเป็นเรื่องไม่จริงขึ้นมา ฝ่ายที่เสียหายมากที่สุดคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ประชาชนนำไปแอบอ้างแบบผิด ๆ