เมื่อแรกเริ่มนั้นนับตั้งแต่เหล่าบรรดานักโทษผิวดำชาวแอฟริกันนั้นย่างก้าว เข้ามาสู่ดินแดนเสรีภาพ พวกเข้าก็นำศิลปะ,วัฒนธรรมเข้ามาเผยแพร่ด้วยเดิมทีเดียวดนตรีของพวกคนดำนั้น จะออกเป็นพวกเพลงร้องสวดหรือเพลงที่ใช้ร้องในทางศาสนาซะมากกว่าหรือที่ เรียกว่า Gospel ศิลปะชิ้นงานชิ้นนี้นั้นใช้วิธีสืบทอดต่อกันมาโดย วิธีการที่เล่าหรือว่าร้องให้ฟังแบบปากต่อปากรุ่นต่อรุ่น ดนตรีชนิดนี้นั้นส่วนใหญ่เนื้อหาก็เป็นเรื่องของการบรรยายถึงความลำบากลำบน ของชีวิตนักโทษหรือทาสที่โดนกดขี่ข่มเหงอยู่ตลอดเวลาโดยที่พวกคนงานหรือ แรงงานในไร่ทั้งหลายมักจะใช้เวลาหลังเลิกงานมานั่งร่วมกันร้องเพลงเพื่อ ระบายความเครียด โดยเครื่องดนตรีเบื้องต้นที่นำมาเล่นส่วนใหญ่ก็เป็นอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้ตัว หรือโดยมากจะเป็นเครื่องดนตรีราคาถูกซะมากกว่าและด้วยความที่ไม่มีการเรียน รู้ในเรื่องของทฤษฎีดนตรีอย่างถูกต้องและจริงจังจึงทำให้สิ่งที่เล่นออก มานั้นเสียงและท่วงทำนองมักจะออกทางเพี้ยนๆและมั่วแต่มันกลับ
สร้างความ สุขอย่างมหาศาล และในเวลาต่อมาเมื่อยุคสมัยเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปอะไรหลายๆอย่างก็มีการ พัฒนาเช่นเดียวกันกับบลูส์ที่พัฒนาไปเป็นดนตรีที่มีคนฟังนิยมไม่แพ้กันเลย อีกทั้งเมื่อเริ่มต้นมีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาบลูส์ก็เริ่มเข้าสู่รูปร่างของ การค้ามากขึ้น นั่นหมายความว่าเริ่มมีการอัดและบันทึกเสียงเพื่อการค้า และนักดนตรีบลูส์คนแรกที่ต่างก็มีคนเรียกว่าเป็น
“ บิดาแห่งบลูส์ ” นั่นก็คือ W.C Handy เขาผู้นี้ได้แต่งเพลงเยี่ยมๆเอาไว้อย่างมากมาย และเมื่อเข้า สู่ช่วงปลายๆปี 1920 ย่างเข้า 1930 ก็ได้ปรากฏนักดนตรีแนวบลูส์ที่น่าจะเรียกว่าเป็นคนบลูส์ที่หัวก้าวหน้ากว่า คนอื่นๆนั่นคือ Lonnie Johnson ซึ่งเขาเป็นมือกีต้าร์ที่มีแนวทางที่รับเอาไอเดียใหม่ๆมาใช้กับตนเองเสมอ และเขาผู้นี้ก็ได้เป็นแรงบัลดาลใจและมีอิทธิพลต่อมือกีต้าร์คนหนึ่งซึ่ง ปัจจุบันนั้น แม้ว่าตัวจะตายไปแล้วแต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังคงอยู่และเป็นมือกีต้าร์ที่คน ต่างยอมรับเข้าขั้นเทพอีกคนนั้นคือ Robert Johnson นั่นเอง และในสายของบูลส์นั้นก็ยังคงพัฒนาสืบต่อมาเรื่อยๆ จากคนผิวดำรุ่นต่อรุ่นจนส่งผลต่อคนผิวขาว ซึ่งดนตรีแนวนี้ก็สร้างนักดนตรีดังๆขึ้นมาหลายคน