งาช้างดำ เป็นของโบราณเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง เป็นงาช้าง 1 ข้าง ไม่ได้มีสีดำสนิทอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นงาช้างสีออกน้ำตาล มีครุฑตัวสีน้ำเงินปีกทองแบกงาช้างอยู่อีกที งาช้างกิ่งนี้ไม่ระบุที่มาแน่ชัด แต่จากตำนานที่เล่าสืบต่อมาระบุว่า อดีตเจ้าผู้ครองนครน่านได้มาจากเมืองเชียงตุง ตอนนั้นเชียงตุงมีงาช้างดำ 1 คู่ เลยแบ่งให้นครน่านมา 1 กิ่งเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี เดิมเก็บไว้ใน “หอคำ”หรือวังของเจ้าผู้ครองนคร จนเมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย(เสียชีวิต) ในปี พ.ศ. 2474 บุตรหลานของเจ้าผู้ครองนครจึงมอบให้เป็นสมบัติของเมืองน่าน ส่วนตัวครุฑที่ทำแบกรับงานั้น ทำจากไม้สักทั้งท่อน สร้างเมื่อปี 2469 ช่วงนั้นมีข่าวว่าเจ้าเมืองทางเหนือบางเมืองแข็งข้อก่อการกบฏ เจ้าเมืองน่านจึงให้ทำครุฑ ขึ้นมาแบกงาช้างดำวัตถุคู่บ้านคู่เมืองเพื่อ เป็นการแสดงสัญลักษณ์ให้เห็นว่า นครน่านในยุคนั้น ยังจงรักภักดีต่อกรุงราชวงศ์จักรี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์อยู่ ไม่เสื่อมคลาย งาช้างดำนี้มีความเชื่อว่า ถ้าใครไปเก็บไว้ในครอบครองแล้วจะเกิดอาเพศ แต่ถ้าเมืองไหนมีไว้เป็นของส่วนรวม จะถือเป็นวัตถุมงคลที่เกิดผลดีต่อบ้านเมืองนั้น “จากข้อมูลของนักวิชาการ ที่ศึกษางาช้างดำกิ่งนี้พบว่าเป็นงาช้างตันที่ถูก ดึงมาทั้งยวงจากตัวช้าง งาช้างมีอายุหลายร้อยปี ส่วนตัวช้างเจ้าของงาน่าจะมีอายุอยู่ประมาณ 60 ปี นักวิชาการสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นงาข้างซ้าย เพราะดูจากลักษณะการเสียดสีของ ปลายงา” รูปลักษณะของงาเป็นงาปลี วัดโดยรอบตรงโคนโต 47 เซนติเมตร ยาว 94 เซนติเมตร น้ำหนัก 18 กิโลกรัม สีน้ำตาลไหม้เกือบเป็นสีดำ ข้างในกลวงตอนโคนลึกเพียง 14 เซนติเมตร จึงถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง จะตกไปเป็นเอกสิทธิ์ของเอกชนคนใดไม่ได้ และต้องถือว่า เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่านตลอดไป เดิมงาช้างกิ่งนี้ เก็บรักษาไว้ในศาลากลางจังหวัดน่าน ต่อมากรมศิลป์ได้รับมอบให้นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ฯน่าน เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2525”