ฉันรักแปการวิจัยครั้งนี้ศึกษาเกี่ยวกับการใช้กลยุทธ์ความสุภาพของพนักงานชาวไทยที่มีต่อชาวเวียดนามที่ทำงานร่วมกับบริษัทข้ามชาติโดยผู้วิจัยศึกษาประเด็นระดับศึกษา อายุ และเพศของชาวไทยที่มีผลกระทบต่อการเลือกใช้กลยุทธ์ความสุภาพกับชาวเวียดนามลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง เพศชาย จํานวน 3 คน เพศหญิงจำนวน 7 คน ระดับการศึกษาได้แก่ ระดับปริญญาเอกจำนวน 1 คน ระดับปริญญาโท จำนวน 3 คน และระดับปริญญาตรี จำนวน 6 คน และช่วงอายุ 20-30 จำนวน 5 คน 31-40 จำนวน 3 คน มากกว่า 40 จำนวน 2 คนซึ่งได้พบว่าในช่วงอายุ 20-30 มีการให้เหตุผลทาง Positive Politeness มากกว่าในช่วงอายุ 31-40
ผลการวิจัยพบว่าในสถานการณ์ที่เป็น Positive Politeness e มีการใช้ เพียงอย่างเดียว และโครงสร้างส่วนหน้าและส่วนหลังที่ปรากฏร่วมกับ Politeness Strategies มีเพียงแค่ 1 โครงสร้างคือ ส่วนหน้าตามด้วย Positive Politeness และตามด้วยส่วนหลังแต่ละประเภท โดยส่วนหน้าที่พบได้แก่ ชื่นชม ขอโทษ และอวยพร ส่วนหลังที่พบได้แก่เหตุผล และชี้แจงสถานการณ์ที่เป็น Negative Politeness พบว่ามี 2 โครงสร้างคือ 1)ส่วนหน้า และส่วนหลัง โดยส่วนหน้าที่พบได้แก่ ขอร้อง และชี้แจง ส่วนหลังที่พบได้แก่ เหตุผล เงื่อนไข และชดเชย 2) ส่วนหน้า ตามด้วย Negative Politeness ส่วนหน้าที่พบมีเพียงประเภทเดียวคือ ขอร้อง
พบว่าระดับมากที่ใช้ Positive Politeness และกระบวนการสื่อกับเพื่อนร่วมงานจากเพศหญิงมีความใช้ความสุภาพเชิงรักษาหน้ามากกว่าเพศชาย ที่ใช้ในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานชาวเวียดนาม
การวิจัยครั้งนี้ศึกษาเกี่ยวกับการใช้กลยุทธ์ความสุภาพของพนักงานชาวไทยที่มีต่อชาวเวียดนามที่ทำงานร่วมกับบริษัทข้ามชาติโดยผู้วิจัยศึกษาประเด็นระดับศึกษา อายุ และเพศของชาวไทยที่มีผลกระทบต่อการเลือกใช้กลยุทธ์ความสุภาพกับชาวเวียดนามลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง เพศชาย จํานวน 3 คน เพศหญิงจำนวน 7 คน ระดับการศึกษาได้แก่ ระดับปริญญาเอกจำนวน 1 คน ระดับปริญญาโท จำนวน 3 คน และระดับปริญญาตรี จำนวน 6 คน และช่วงอายุ 20-30 จำนวน 5 คน 31-40 จำนวน 3 คน มากกว่า 40 จำนวน 2 คนซึ่งได้พบว่าในช่วงอายุ 20-30 มีการให้เหตุผลทาง Positive Politeness มากกว่าในช่วงอายุ 31-40
ผลการวิจัยพบว่าในสถานการณ์ที่เป็น Positive Politeness e มีการใช้ เพียงอย่างเดียว และโครงสร้างส่วนหน้าและส่วนหลังที่ปรากฏร่วมกับ Politeness Strategies มีเพียงแค่ 1 โครงสร้างคือ ส่วนหน้าตามด้วย Positive Politeness และตามด้วยส่วนหลังแต่ละประเภท โดยส่วนหน้าที่พบได้แก่ ชื่นชม ขอโทษ และอวยพร ส่วนหลังที่พบได้แก่เหตุผล และชี้แจงสถานการณ์ที่เป็น Negative Politeness พบว่ามี 2 โครงสร้างคือ 1)ส่วนหน้า และส่วนหลัง โดยส่วนหน้าที่พบได้แก่ ขอร้อง และชี้แจง ส่วนหลังที่พบได้แก่ เหตุผล เงื่อนไข และชดเชย 2) ส่วนหน้า ตามด้วย Negative Politeness ส่วนหน้าที่พบมีเพียงประเภทเดียวคือ ขอร้อง
พบว่าระดับมากที่ใช้ Positive Politeness และกระบวนการสื่อกับเพื่อนร่วมงานจากเพศหญิงมีความใช้ความสุภาพเชิงรักษาหน้ามากกว่าเพศชาย ที่ใช้ในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานชาวเวียดนาม
การวิจัยครั้งนี้ศึกษาเกี่ยวกับการใช้กลยุทธ์ความสุภาพของพนักงานชาวไทยที่มีต่อชาวเวียดนามที่ทำงานร่วมกับบริษัทข้ามชาติโดยผู้วิจัยศึกษาประเด็นระดับศึกษา อายุ และเพศของชาวไทยที่มีผลกระทบต่อการเลือกใช้กลยุทธ์ความสุภาพกับชาวเวียดนามลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง เพศชาย จํานวน 3 คน เพศหญิงจำนวน 7 คน ระดับการศึกษาได้แก่ ระดับปริญญาเอกจำนวน 1 คน ระดับปริญญาโท จำนวน 3 คน และระดับปริญญาตรี จำนวน 6 คน และช่วงอายุ 20-30 จำนวน 5 คน 31-40 จำนวน 3 คน มากกว่า 40 จำนวน 2 คนซึ่งได้พบว่าในช่วงอายุ 20-30 มีการให้เหตุผลทาง Positive Politeness มากกว่าในช่วงอายุ 31-40
ผลการวิจัยพบว่าในสถานการณ์ที่เป็น Positive Politeness e มีการใช้ เพียงอย่างเดียว และโครงสร้างส่วนหน้าและส่วนหลังที่ปรากฏร่วมกับ Politeness Strategies มีเพียงแค่ 1 โครงสร้างคือ ส่วนหน้าตามด้วย Positive Politeness และตามด้วยส่วนหลังแต่ละประเภท โดยส่วนหน้าที่พบได้แก่ ชื่นชม ขอโทษ และอวยพร ส่วนหลังที่พบได้แก่เหตุผล และชี้แจงสถานการณ์ที่เป็น Negative Politeness พบว่ามี 2 โครงสร้างคือ 1)ส่วนหน้า และส่วนหลัง โดยส่วนหน้าที่พบได้แก่ ขอร้อง และชี้แจง ส่วนหลังที่พบได้แก่ เหตุผล เงื่อนไข และชดเชย 2) ส่วนหน้า ตามด้วย Negative Politeness ส่วนหน้าที่พบมีเพียงประเภทเดียวคือ ขอร้อง
พบว่าระดับมากที่ใช้ Positive Politeness และกระบวนการสื่อกับเพื่อนร่วมงานจากเพศหญิงมีความใช้ความสุภาพเชิงรักษาหน้ามากกว่าเพศชาย ที่ใช้ในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานชาวเวียดนาม