Having discussed the different degr

Having discussed the different degrees of price discrimination, bases for segmenting markets, and some practical examples, we can now move on to a more detailed quantitative analysis of the situation.

10.4.4 Analysis
Consider the following situation:

SP10.1 Price discrimination
Valair is an airline flying a particular route that has seasonal demand. The firm’s total demand is given by:
สูตร
where Q is the number of passengers per year, in thousands, and P is the fare (in £). In the peak season the demand is given by:
สูตร
and in the off-season the demand is given by:
สูตร
assume that fixed costs are £6 million per year and that marginal costs are constant at £60 per passenger. Thus the cost function is given by:
สูตร
where C is total costs (in £’000).
a. Calculate the profit-maximizing price and output without price discrimination, and the size of the profit.
b. Calculate the profit-maximizing price and output with price discrimination, and the size of the profit.
c. Calculate the demand elasticities of the two segments at their profit-maximizing prices.

Solution
a. Without price discrimination
Reviewing the procedure described in Chapter 8:
สูตร
b. With price discrimination
We now examine each segment in turn:
สูตร
In order to obtain the size of the profit it is necessary to calculate total revenue and subtract total costs. Note that it is incorrect to compute the profits in each segment separately and then add them together. This would double-count the fixed costs.
สูตร
c. The demand elasticities in each segment can also be obtained using
the point elasticity formula:
สูตร
At this point a number of general conclusions can be drawn from comparing the situation with price discrimination and the situation without price discrimination:
1 Total output is the same in both situations (note that this is not true if the cost function is non-linear).
2 The prices with discrimination ‘straddle’ the price without discrimination, meaning that one is higher and the other is lower. If there are more than two market segments one or more prices will
always be higher and one or more prices will always be lower.
3 The segment with the higher price will have less elastic demand and vice versa.
4 Profit is always higher under price discrimination. This is because some of the consumer surplus is transferred to producer surplus, as seen earlier.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

มีกล่าวถึงองศาที่แตกต่างกันราคาเลือกปฏิบัติ ฐานสำหรับเซ็กเมนต์ตลาด และตัวอย่างการปฏิบัติ เราสามารถตอนนี้ไปวิเคราะห์เชิงปริมาณเป็นรายละเอียดเพิ่มเติมของสถานการณ์10.4.4 วิเคราะห์พิจารณาสถานการณ์ต่อไปนี้:SP10.1 ราคาแบ่งแยกValair มีสายการบินบินเส้นทางเฉพาะที่มีความต้องการตามฤดูกาล ความต้องการทั้งหมดของบริษัทได้โดย:สูตรที่ Q คือ จำนวนผู้โดยสารต่อปี พัน และ P คือราคา ค่าโดยสาร (ใน £) ในช่วง peak ความต้องได้โดย:สูตรและระเบิด ความต้องได้โดย:สูตรสมมติว่า ต้นทุนคงราคา 6 ล้าน ปอนด์ต่อปี และต้นทุนกำไรคงที่ £60 บาท ดังนั้น ฟังก์ชันต้นทุนได้โดย:สูตรโดยที่ C คือ ต้นทุนรวม (ใน £' 000)a. คำนวณกำไรเพิ่มราคาและผลผลิตโดยไม่แบ่งแยกราคา และขนาดของผลกำไรb. คำนวณกำไรเพิ่มราคาและผลผลิตกับแบ่งแยกราคา ขนาดของกำไรค.คำนวณ elasticities ความต้องการของเซ็กเมนต์ที่สองราคาการเพิ่มกำไรโซลูชั่นอ.ทุก ๆ ราคาตรวจทานขั้นตอนที่อธิบายไว้ในบทที่ 8:สูตรb. มีการแบ่งแยกราคาเราตอนนี้ตรวจสอบแต่ละเซ็กเมนต์จะ:สูตรเพื่อให้ได้ขนาดของผลกำไรที่ ได้ การคำนวณรายได้ทั้งหมดลบต้นทุนรวม หมายเหตุว่า ไม่ถูกต้อง การคำนวณผลกำไรในแต่ละกลุ่มแยกต่างหากพวกเขาร่วมกัน นี้จะนับสองต้นทุนคงที่ สูตรc. การ elasticities ความต้องการในแต่ละกลุ่มยังได้ใช้สูตรความยืดหยุ่นจุด: สูตรจุดนี้ สามารถดึงจำนวนข้อสรุปทั่วไปจากการเปรียบเทียบสถานการณ์กับแบ่งแยกราคาและสถานการณ์โดยไม่แบ่งแยกราคา:ผลผลิตรวม 1 เป็นเหมือนกันในทั้งสองกรณี (หมายเหตุว่า ไม่จริงว่าไม่ใช่เชิงเส้นฟังก์ชันต้นทุน)2 คาแบ่งแยก 'คร่อม' ราคาโดยไม่เลือกปฏิบัติ หมายความ ว่า หนึ่งจะสูง และอื่น ๆ ต่ำกว่า ถ้ามีมากกว่าสองตลาด จะราคาหนึ่งรายการ ขึ้นไปสามารถสูงขึ้น และราคาหนึ่งรายการ ขึ้นไปจะเป็นล่าง3 เซ็กเมนต์ราคาสูงจะมีความยืดหยุ่นน้อย และในทางกลับกัน4 กำไรสูงภายใต้แบ่งแยกราคาอยู่เสมอ คือส่วนเกินผู้บริโภคบางคนโอนย้ายไปส่วนเกินผู้ผลิต ที่เห็นก่อนหน้านี้

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

มีการกล่าวถึงองศาที่แตกต่างกันของการเลือกปฏิบัติราคาฐานสำหรับการแบ่งกลุ่มตลาดและตัวอย่างการปฏิบัติบางอย่างตอนนี้เราสามารถย้ายไปยังการวิเคราะห์เชิงปริมาณรายละเอียดของสถานการณ์. 10.4.4 การวิเคราะห์พิจารณาสถานการณ์ต่อไปนี้: SP10.1 ราคาการเลือกปฏิบัติValair คือ สายการบินที่บินเส้นทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความต้องการตามฤดูกาล อุปสงค์รวมของ บริษัท จะได้รับโดย: สูตรที่ Q คือจำนวนผู้โดยสารต่อปีในพันและ P คือค่าโดยสาร (ในปอนด์) ในฤดูจุดสูงสุดของความต้องการที่จะได้รับโดย: สูตรและปิดฤดูกาลความต้องการที่จะได้รับโดย: สูตรสมมติค่าใช้จ่ายคงที่£ 6,000,000 ต่อปีและต้นทุนที่มีอย่างต่อเนื่องที่£ 60 ต่อผู้โดยสาร ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการทำงานจะได้รับโดย: สูตร. ที่ C มีค่าใช้จ่ายรวม (ในปอนด์ '000) คำนวณราคาแสวงหาผลกำไรสูงสุดและผลผลิตโดยไม่เลือกปฏิบัติราคาและขนาดของผลกำไร. ข คำนวณราคาแสวงหาผลกำไรสูงสุดและการส่งออกที่มีการเลือกปฏิบัติราคาและขนาดของผลกำไร. ค คำนวณความยืดหยุ่นความต้องการของทั้งสองกลุ่มในราคาที่แสวงหาผลกำไรสูงสุดของพวกเขา. โซลูชั่น โดยไม่เลือกปฏิบัติราคาการตรวจสอบขั้นตอนที่อธิบายในบทที่ 8: สูตรข ด้วยการเลือกปฏิบัติราคาตอนนี้เราตรวจสอบส่วนในการเปิดแต่ละสูตรเพื่อให้ได้ขนาดของผลกำไรที่มีความจำเป็นในการคำนวณรายได้รวมและลบค่าใช้จ่ายรวม โปรดทราบว่ามันไม่ถูกต้องในการคำนวณผลกำไรในแต่ละส่วนแยกต่างหากและเพิ่มพวกเขาร่วมกัน นี้จะสองครั้งนับค่าใช้จ่ายคง. สูตรค ความยืดหยุ่นความต้องการในแต่ละกลุ่มนอกจากนี้ยังสามารถรับใช้ความยืดหยุ่นจุดสูตร: สูตรณ จุดนี้จำนวนของข้อสรุปทั่วไปจะมาจากการเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่มีการเลือกปฏิบัติราคาและสถานการณ์โดยไม่เลือกปฏิบัติราคา: 1 การส่งออกรวมจะเหมือนกันทั้งใน สถานการณ์ (โปรดทราบว่าไม่เป็นความจริงถ้าฟังก์ชั่นค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นเชิงเส้น). 2 ราคากับการเลือกปฏิบัติ 'ขี่' ราคาโดยไม่เลือกปฏิบัติที่มีความหมายที่หนึ่งที่สูงขึ้นและอื่น ๆ ที่เป็นที่ต่ำกว่า หากมีมากกว่าสองตลาดส่วนหนึ่งหรือมากกว่าราคาจะอยู่เสมอที่จะสูงขึ้นและหนึ่งหรือมากกว่าราคาจะต่ำกว่าเสมอ. 3 ส่วนที่มีราคาที่สูงขึ้นจะมีความต้องการความยืดหยุ่นน้อยลงและในทางกลับกัน. 4 กำไรที่สูงขึ้นอยู่เสมอภายใต้การเลือกปฏิบัติราคา . เพราะนี่คือบางส่วนของส่วนเกินผู้บริโภคถูกโอนไปยังผู้ผลิตส่วนเกินที่เห็นก่อนหน้านี้

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

มีการกล่าวถึงองศาที่แตกต่างกันของการแบ่งแยกราคา เกณฑ์การแบ่งส่วนตลาดและตัวอย่างบาง ตอนนี้เราสามารถย้ายไปยังการวิเคราะห์เชิงปริมาณเพิ่มเติมรายละเอียดของสถานการณ์


10.4.4 การวิเคราะห์พิจารณาสถานการณ์ต่อไปนี้ :

sp10.1 ราคาค่า
valair เป็นสายการบินที่บินเฉพาะเส้นทางที่มีตามฤดูกาลและความต้องการ ของ บริษัท มีความต้องการให้ โดย :
รวมสูตร
เมื่อ q เป็นจำนวนผู้โดยสารต่อปี ในพัน และ P เป็นค่าโดยสาร ( ง ) ในช่วงที่ความต้องการจะได้รับโดย :

สูตรในนอกฤดู มีความต้องการให้ โดย :

สูตรสมมติว่าต้นทุนคงที่จะลดลง 6 ล้านบาทต่อปี และต้นทุนแปรผันจะคงที่กว่า 60 ต่อผู้โดยสาร ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการทำงานให้ โดย :

สูตรที่ C คือ ต้นทุนทั้งหมด ( ในรัฐบาลพัน )
.คำนวณกำไรเพิ่มราคาและผลผลิต โดยไม่มีการแบ่งแยกราคา และขนาดของกำไร คำนวณกำไร สูงสุด
B ราคาและผลผลิตที่มีการเลือกปฏิบัติด้านราคาและขนาดของกำไร
C คำนวณความต้องการความยืดหยุ่นของทั้งสองกลุ่มที่กำไรเพิ่มราคา


. . โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติด้านราคาโซลูชั่น
ตรวจทาน ขั้นตอนที่อธิบายไว้ในบทที่ 8 :
สูตร

b กับการแบ่งแยกราคาตอนนี้เราตรวจสอบแต่ละส่วนในการเปิดสูตร :

เพื่อให้ได้ขนาดของกำไรจะต้องคำนวณรายได้และลบค่าใช้จ่ายทั้งหมด หมายเหตุว่า ไม่ถูกต้อง คำนวณหาผลกำไรในแต่ละกลุ่มแยกแล้วเพิ่มพวกเขาร่วมกัน นี้จะเพิ่มเป็นสองเท่านับต้นทุนคงที่ . สูตร

Cความต้องการความยืดหยุ่นในแต่ละกลุ่มยังสามารถหาได้โดยใช้สูตร :


สูตรจุดความยืดหยุ่นณจุดนี้จำนวนของข้อสรุปทั่วไปสามารถวาดจากการเปรียบเทียบสถานการณ์กับการเลือกปฏิบัติด้านราคาและสถานการณ์โดยไม่แบ่งแยกราคา :
1 ผลผลิตทั้งหมดจะเหมือนกันในทั้งสองสถานการณ์ ( หมายเหตุว่า ไม่เป็นความจริง ถ้า ฟังก์ชันต้นทุน
) )2 ราคากับการเลือกปฏิบัติ ' นั่ง ' ราคาโดยไม่เลือกปฏิบัติ หมายความว่าหนึ่งที่สูงและอื่น ๆ ลดลง หากมีมากกว่าสองกลุ่มตลาดมากกว่าหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งราคาจะ
เสมอที่สูงและหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งราคาจะต่ำกว่า
3 ส่วนกับราคาที่สูงขึ้นจะมีความยืดหยุ่นมากน้อยลงและในทางกลับกัน .
4 กำไรเสมอที่สูงภายใต้การแบ่งแยกราคานี้เป็นเพราะบางส่วนของส่วนเกินผู้บริโภคส่วนเกินผู้ผลิตมาเป็นอย่างที่เห็นก่อนหน้านี้