According to legend, silk was first

According to legend, silk was first discovered in China by Empress Si Ling Chi when she was sitting beneath a mulberry tree in the palace garden enjoying a cup of tea. Suddenly, a cocoon which had been attached to the tree, fell into the Empress' teacup. Attempting to remove it, she was fascinated to discover a very fine thread start to unravel.

The Chinese guarded the secret of silk for thousands of years. It was the cloth of emperors and gods and became a great source of wealth. The secret was protected by enforcing dire penalties. Anyone found guilty of smuggling silkworm eggs, cocoons or even seeds of the mulberry tree was put to death.

A secret doesn't remain secret forever. Another legend maintains that eventually the knowledge escaped China through a Chinese princess who married an Indian prince in the first century A.D. The crafty princess is said to have smuggled silkworm eggs out of the country in her headdress and fed the caterpillars on leaves from mulberry trees which grew in India.

Over the centuries, the knowledge spread to other countries in Asia where silk producing was quickly adopted. There are no records to indicate exactly when silk making began in Thailand, but fragments of silk 3,000 years old have been found among the ruins in Baan Chiang, which some archaeologists believe was the earliest civilization in this part of the world. In any event, at some point in the distant past the Thai people gained the knowledge and, over the centuries, developed a very unique type of silk.

SilkwormMany people do not realize just how complex the process of producing silk is. First of all, the insect which produces the silk fibre, although called a silkworm, is not a worm at all, but a caterpillar. When these tiny caterpillars emerge from their eggs, they are only about a centimeter long and about a millimeter or two in thickness. When first born, they are dark green in colour, and have a voracious appetite. From the moment of birth, they are fed mulberry leaves which have been carefully washed, dried and chopped. In the early stages, they must be fed around the clock, so great are their appetites.

The vast quantities consumed by these caterpillars cause them to grow at a very rapid rate. In fact, they grow so rapidly that their skins cannot contain their bodies. For this reason, they shed their skins four times to allow them to grow before they finally spin their silken cocoons. It is during this time that the silkworms' bodies are slowly filling with the liquid raw material of silk.

The final stage of its existence as a caterpillar is the spinning of its cocoon. With rapid movements of its head, the liquid silk spins from a gland on the lower lip of the caterpillar, which hardens on contact with the air forming a thin triangular ribbon. Spinning thousands of tiny figure-eight shaped loops of silk, the silkworm will spend four or five days at this task without stopping.

The cocoons are gathered and placed in a boiling cauldron. The pupa is removed and three or four fibres are gathered together and attached to an overhead roller. Northeasterners are particularly fond of this stage of the process, as the boiled pupa is savoured as a tasty delicacy; it tastes like corn and is very rich in protein. You see Thai’s love to eat everything.

The silk fibres are slowly unraveled from the cocoons, wound onto wooden spindles, and then spun into thread or yarn. The silk fibre of Thailand's silkworms is a natural gold in colour, and one cocoon consists of a single fibre that is often as long as 500 metres .

At this stage, the silk yarn is washed and bleached until it is creamy white, and is then ready to be dyed any colour. Originally, only vegetable dyes were used, but the Thais love of vivid colours soon led to the use of synthetic dyes, which are colourfast and more permanent than vegetable dyes. After this, the threads are washed and stretched, and when dry are wound onto drums ready for the weavers.

Thai silk produced in this manner, differs considerably from that made in the other major silk producing countries. Chinese silk tends to be smooth and satiny, while Indian silk tends to be softer with richer colours and a more crinkly look. Italian silk has the refined and elegant look of high fashion, and Thai silk projects the natural blended textures and patterns that are so characteristically Southeast Asian.

The silkworms of Thailand are grown primarily on the Korat Plateau in the northeast region, although the majority of silk production takes place in the Chiangmai area. On the small hand looms at these factories, one skilled weaver can produce only about four metres of cloth in a single day.

Most of these silk weaving centers have their own factory showrooms with an incredible array of products for sale with a wide variety of colours, styles, pa

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ตำนาน ไหมก่อนค้นพบในประเทศจีน โดยจักรพรรดินีศรี Ling Chi เมื่อเธอนั่งใต้ต้นหม่อนในสวนพาเพลิดเพลินกับถ้วยชา ทันใดนั้น รังซึ่งมีการแนบกับต้นไม้ ตกเป็นของจักรพรรดินี teacup พยายามเอา เธอหลงเยือนเริ่มดีด้ายให้คลี่คลายจีนรักษาความลับของไหมพัน ๆ ปี มันเป็นผ้าของจักรพรรดิหและเทพเจ้า และกลายเป็น แหล่งที่ดีของให้เลือกมากมาย ความลับได้รับการป้องกัน ด้วยการบังคับโทษที่เลวร้าย ทุกคนพบความผิดของไข่ไหมลักลอบ ย้ายตายรังหรือแม้แต่เมล็ดของต้นหม่อนความลับไม่รักษาความลับตลอดไป ตำนานอื่นรักษาว่า ในที่สุดความรู้หนีจีนผ่านเจ้าหญิงจีนที่แต่งงานมีเจ้าชายในแรกฝน เจ้าหญิง crafty กล่าวว่า ไข่ไหมจากประเทศ headdress เธอ และเลี้ยงตัวบุ้งที่บนใบไม้จากต้นไม้ดอกไม้ที่เติบโตในประเทศอินเดียกว่าศตวรรษ ความรู้แพร่กระจายไปยังประเทศอื่น ๆ ในเอเชียที่ผลิตผ้าไหมได้อย่างรวดเร็วบุญธรรม ไม่มีเรกคอร์ดเพื่อบ่งชี้ว่า เมื่อเริ่มทำผ้าไหมไทย ชิ้นส่วนของผ้าไหม 3000 ปีพบจากโบราณสถานในบ้านเชียง ที่บางนักโบราณคดีเชื่อว่า เป็นอารยธรรมที่เก่าที่สุดในโลกแห่งนี้ ชะดีชะร้าย บางจุดในอดีตไกล คนไทยรับรู้ แล้ว กว่าศตวรรษ พัฒนาชนิดไม่ซ้ำกันมากไหมคน SilkwormMany ไม่ทราบขั้นตอนการผลิตผ้าไหมจะซับซ้อนเพียงไร ครั้งแรกของทั้งหมด แมลงที่ผลิตเส้นใยไหม แม้ว่าจะเรียกไหม ไม่ได้หนอนเลย แต่ด้วง เมื่อตัวบุ้งเล็ก ๆ เหล่านี้เกิดจากไข่ของพวกเขา พวกเขาจะ เกี่ยวกับเซนติเมตรความยาวเท่านั้น และเป็นมิลลิเมตรหรือสองความหนา เมื่อแรก เกิด มีสีเขียวเข้มสี และมีความอยากอาหารละโมบทาง จากช่วงเวลาที่เกิด พวกเขาจะเลี้ยงหม่อนซึ่งได้อย่างล้าง แห้ง และสับ ในขั้นต้น พวกเขาต้องได้รับอาหารตลอด นั้นดีมี appetites ของพวกเขาปริมาณมากมายที่ใช้ตัวบุ้งเหล่านี้ทำให้พวกเขาเติบโตในอัตรารวดเร็วมาก ในความเป็นจริง พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วว่า สกินของพวกเขาไม่ประกอบด้วยร่างกาย ด้วยเหตุนี้ พวกเขาหลั่งสกินของสี่ครั้งให้พวกเขาเติบโตก่อนจะสุดท้ายหมุนของรังไหมซิลค์เค่น ได้ในช่วงเวลานี้ร่างกายของ silkworms ได้กรอกข้อมูลช้า ด้วยวัตถุดิบของเหลวไหมขั้นตอนสุดท้ายของการดำรงอยู่ที่เป็นหนอนผีเสื้อปั่นของรังของมันได้ มีความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของใหญ่ หมุนไหมของเหลวจากต่อมบนล่าง lip ของหนอนผีเสื้อ ที่ hardens ในการติดต่อกับอากาศเป็น ribbon สามเหลี่ยมบาง ปั่นพันเล็ก ๆ รูปแปดรูปลูปของผ้าไหม ไหมจะใช้สี่ห้าวันที่งานนี้โดยไม่หยุดรังรวบรวม และวางลงในหม้อน้ำไปเล่นเดือด ดักแด้ออกไป และรวบรวมเข้าด้วยกัน และกับลูกกลิ้งที่จ่ายอยู่สาม หรือสี่ Northeasterners เป็นอย่างยิ่งชอบขั้นตอนของกระบวนการ ดักแด้ต้มเป็น savoured เป็นอาหารอร่อย มันรสชาติเช่นข้าวโพด และมีความอุดมไปด้วยโปรตีน คุณดูไทยรักที่จะกินทุกอย่างเส้นใยไหมจะช้า unraveled จากรังไหม แผลลงบนแกนไม้ แล้ว ปั่นเป็นด้ายหรือเส้นด้าย เส้นใยไหมของไทย silkworms เป็นทองธรรมชาติสี และรังหนึ่งประกอบด้วยเส้นใยเดียวที่มักจะยาว 500 เมตรในขั้นตอนนี้ ด้ายไหมพรมจะล้าง และ bleached จนมันเป็นสีขาวครีม แล้วพร้อมที่จะย้อมสีใด ๆ เดิม ใช้เฉพาะผักสี แต่คนไทยที่รักเร็ว ๆ นี้ นำไปสู่การใช้สีสังเคราะห์ colourfast และถาวรยิ่งกว่าผักสีสีสดใส หลังจากนี้ กระทู้จะล้าง และยืด แล้วเมื่อแผลแห้งบนกลองพร้อมสำหรับการทอผ้าผ้าไหมไทยที่ผลิตในลักษณะนี้ แตกต่างอย่างมากจากที่ทำไหมสำคัญอื่น ๆ ที่ประเทศผลิต ผ้าไหมจีนมีแนวโน้มที่จะราบรื่น และ satiny ในขณะที่ผ้าไหมอินเดียมีแนวโน้มจะนุ่ม มีสีสวยงามยิ่งขึ้นและดูเพิ่มเติม crinkly ผ้าไหมอิตาลีมีลักษณะบริสุทธิ์ และสง่างามของแฟชั่นสูง และโครงการไหมไทยลายธรรมชาติแบบผสมผสานและรูปแบบที่ให้ characteristically ตะวันออกเฉียงใต้เอเชียSilkworms ของไทยจะเติบโตเป็นหลักบนราบสูงโคราชในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แม้ว่าส่วนใหญ่ของการผลิตผ้าไหมเกิดขึ้นในพื้นที่เชียงใหม่ บน looms มือเล็กที่โรงงานเหล่านี้ ช่างทอผ้าฝีมือหนึ่งสามารถผลิตผ้าเพียง ๔ เมตรในแต่ละวันทั้งนี้ศูนย์ทอผ้าไหมมีโชว์รูมโรงงานของตนเองกับอาร์เรย์เหลือเชื่อสินค้าขายมีความหลากหลายของสี ลักษณะ ป่า

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ตามตำนานผ้าไหมถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศจีนโดยคุณหญิงศรีหลิงจิเมื่อเธอกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใบหม่อนในสวนวังเพลิดเพลินกับถ้วยชา ทันใดนั้นรังไหมที่ได้รับการติดอยู่กับต้นไม้ตกลงไปในถ้วยน้ำชาดิเอ็มเพรส ความพยายามที่จะเอามันออกไปเธอก็หลงใหลในการค้นพบจุดเริ่มต้นด้ายดีมากในการคลี่คลาย. จีนรักษาความลับของผ้าไหมเป็นพัน ๆ ปี มันเป็นผ้าของจักรพรรดิและพระเจ้าและกลายเป็นแหล่งที่ดีของความมั่งคั่ง ความลับที่ได้รับการคุ้มครองโดยการบังคับใช้บทลงโทษที่ร้ายแรง ทุกคนที่พบความผิดของการลักลอบขนไข่ไหมรังไหมหรือแม้กระทั่งเมล็ดของต้นหม่อนกำลังจะตาย. ความลับจะไม่เป็นความลับตลอดไป อีกตำนานยืนยันว่าในที่สุดความรู้ที่หนีออกมาผ่านประเทศจีนเป็นเจ้าหญิงจีนที่แต่งงานเจ้าชายอินเดียในศตวรรษแรกเจ้าหญิงเจ้าเล่ห์บอกว่าจะมีการลักลอบนำไข่ไหมออกจากประเทศในผ้าโพกศีรษะของเธอและเลี้ยงหนอนบนใบจากต้นหม่อนที่ ขยายตัวในอินเดีย. กว่าศตวรรษที่แพร่กระจายความรู้ไปยังประเทศอื่น ๆ ในเอเชียที่ผลิตผ้าไหมที่ถูกนำมาใช้อย่างรวดเร็ว มีประวัติที่จะแสดงให้เห็นว่าเมื่อการทำผ้าไหมเริ่มต้นขึ้นในประเทศไทยมี แต่เศษของผ้าไหม 3,000 ปีได้รับการพบในซากปรักหักพังของบ้านเชียงซึ่งนักโบราณคดีบางคนเชื่อว่าเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในส่วนของโลกนี้ ในกรณีใด ๆ ในบางจุดในที่ห่างไกลที่ผ่านมาคนไทยได้รับความรู้และในช่วงหลายศตวรรษที่พัฒนารูปแบบที่ไม่ซ้ำกันมากไหม. SilkwormMany คนไม่ได้ตระหนักถึงวิธีการที่ซับซ้อนเพียงกระบวนการของการผลิตผ้าไหมเป็น แรกของทุกแมลงซึ่งเป็นผู้ผลิตใยไหมแม้ว่าที่เรียกว่าไหมไม่ได้เป็นหนอนเลย แต่หนอน เมื่อหนอนเล็ก ๆ เหล่านี้โผล่ออกมาจากไข่ของพวกเขาพวกเขาเป็นเพียงเกี่ยวกับการเซนติเมตรยาวประมาณมิลลิเมตรหรือสองในความหนา เมื่อเกิดครั้งแรกที่พวกเขาจะมีสีเขียวเข้มสีและมีความกระหายที่ไม่รู้จักพอ จากช่วงเวลาของการเกิดที่พวกเขาจะใบหม่อนเลี้ยงที่ได้รับการล้างอย่างระมัดระวังแห้งและสับ ในช่วงแรกที่พวกเขาจะต้องกินตลอดเวลาดังนั้นดี appetites ของพวกเขา. ปริมาณมหาศาลบริโภคโดยหนอนเหล่านี้ทำให้พวกเขาจะเติบโตในอัตราที่รวดเร็วมาก ในความเป็นจริงพวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผิวหนังของพวกเขาไม่สามารถมีร่างกายของพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาหลั่งผิวหนังของพวกเขาสี่ครั้งเพื่อช่วยให้พวกเขาที่จะเติบโตที่สุดก่อนที่จะหมุนรังไหมของพวกเขา มันเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายไหม 'จะช้าเต็มไปด้วยวัตถุดิบที่มีสภาพคล่องของผ้าไหมนี้. ขั้นตอนสุดท้ายของการดำรงอยู่ของมันเป็นหนอนเป็นปั่นรังของมัน ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของหัวของมันไหมของเหลวหมุนจากต่อมบนริมฝีปากล่างของหนอนที่แข็งตัวเมื่อสัมผัสกับอากาศเพื่อสร้างริบบิ้นสามเหลี่ยมบาง ปั่นพันของลูปที่มีรูปร่างรูปแปดเล็ก ๆ ของผ้าไหม, ผ้าไหมจะใช้เวลาสี่หรือห้าวันที่งานนี้โดยไม่หยุด. รังไหมจะถูกรวบรวมและวางไว้ในหม้อต้ม ดักแด้ออกและสามหรือสี่เส้นใยจะถูกรวบรวมเข้าด้วยกันและแนบมากับลูกกลิ้งค่าใช้จ่าย อีสานมีความรักโดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอนของกระบวนการนี้เป็นดักแด้ต้มจะเสิร์ฟเป็นอาหารอันโอชะอร่อย; รสชาติของมันเช่นข้าวโพดและมากอุดมไปด้วยโปรตีน คุณจะเห็นความรักของไทยที่จะกินทุกอย่าง. เส้นใยไหม unraveled ช้าจากรังไหม, แผลบนลูกกรงไม้และหมุนตัวแล้วเป็นด้ายหรือไหมพรม ใยไหมของหนอนไหมของไทยเป็นทองคำธรรมชาติในสีและหนึ่งรังประกอบด้วยเส้นใยเดียวที่มักจะเป็นเวลานานเป็น 500 เมตร. ในขั้นตอนนี้เส้นด้ายผ้าไหมที่มีการล้างและฟอกขาวจนกว่าจะมีสีขาวครีมและเป็นแล้ว พร้อมที่จะย้อมสีใด ๆ แต่เดิมมีเพียงสีผักถูกนำมาใช้ แต่ความรักของคนไทยสีสันสดใสนำเร็ว ๆ นี้กับการใช้สีสังเคราะห์ซึ่งเป็น colourfast ถาวรและอื่น ๆ กว่าสีผัก หลังจากนี้หัวข้อที่มีการล้างและยืดและเมื่อแห้งเป็นแผลบนกลองพร้อมสำหรับการทอผ้า. ผ้าไหมไทยที่ผลิตในลักษณะนี้แตกต่างอย่างมากจากที่ทำในผ้าไหมที่สำคัญอื่น ๆ ประเทศผู้ผลิต ผ้าไหมจีนมีแนวโน้มที่จะเป็นไปอย่างราบรื่นและ satiny ในขณะที่ผ้าไหมอินเดียมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงด้วยสีสันและลักษณะอื่น ๆ วกไปเวียน ผ้าไหมอิตาลีมีลักษณะการกลั่นและสง่างามของแฟชั่นชั้นสูงและโครงการผ้าไหมไทยพื้นผิวผสมธรรมชาติและรูปแบบที่มีลักษณะพิเศษเพื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. ดักแด้แห่งประเทศไทยมีการปลูกหลักในที่ราบสูงโคราชในภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ของผ้าไหม การผลิตที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ใน looms มือเล็ก ๆ ที่โรงงานเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีฝีมือทอผ้าสามารถผลิตเพียงประมาณสี่เมตรของผ้าในวันเดียว. เหล่านี้ส่วนใหญ่ศูนย์ทอผ้าไหมมีโชว์รูมโรงงานของตัวเองของพวกเขากับอาร์เรย์ที่น่าทึ่งของผลิตภัณฑ์สำหรับการขายที่มีหลากหลายสี ลักษณะต่อปี

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ตำนานผ้าไหมถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศจีนโดยจักรพรรดินีซื่อหลิงชิเมื่อเธอนั่งอยู่ใต้ต้นมัลเบอร์รี่ ในวังสวนเพลิดเพลินกับชาสักถ้วย ทันใดนั้น รังไหมที่ถูกแนบกับต้นไม้ล้มเป็นจักรพรรดินี ' แฟ พยายามที่จะลบเธอหลงใหลค้นพบด้ายดีมาก

เริ่มคลี่คลายจีนปกป้องความลับของผ้าไหมมานานหลายปี มันเป็นผ้าของจักรพรรดิและพระเจ้าและเป็นแหล่งที่ดีของความมั่งคั่ง ความลับที่ได้รับการคุ้มครองโดยการบังคับใช้บทลงโทษร้ายแรง . ทุกคนที่พบความผิดของการลักลอบขนไข่ไหมรังไหม , หรือแม้แต่เมล็ดของต้นหม่อนใส่ตาย

ไม่ความลับยังคงเป็นความลับตลอดไปตำนานอื่นยังคงในที่สุดความรู้หนีไปจีนผ่านหญิงจีนที่แต่งงานกับเจ้าชายอินเดียในศตวรรษแรก AD เจ้าหญิงหัวหมอ บอกว่าจะต้องนำไข่ไหมจากประเทศในผ้าโพกศีรษะของเธอและป้อนหนอนบนใบไม้จากต้นหม่อนที่ปลูกในอินเดีย

กว่าศตวรรษความรู้แพร่กระจายไปยังประเทศอื่น ๆในเอเชียที่ผ้าไหมผลิตได้อย่างรวดเร็วใช้ ไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าเมื่อผ้าไหมทำให้เริ่มในประเทศไทย แต่ชิ้นส่วนของผ้าไหม 3000 ปีได้ถูกพบในซากปรักหักพังในบ้านเชียง ซึ่งมีนักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นอารยธรรมที่เก่าที่สุดในส่วนหนึ่งของโลกนี้ ในกรณีใด ๆในบางจุดในอดีตไกลคนไทยได้รับความรู้และกว่าศตวรรษ การพัฒนาลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของผ้าไหม

silkwormmany คนไม่ได้ตระหนักถึงเพียงวิธีการที่ซับซ้อน ขั้นตอนการผลิตผ้าไหมเป็น แรกของทั้งหมด , แมลงที่ผลิตผ้าไหมใยถึงเรียกว่าไหม ไม่ใช่หนอนที่ทั้งหมด แต่หนอนผีเสื้อ เมื่อหนอนเล็ก ๆ เหล่านี้ออกมาจากไข่ของพวกเขาพวกเขาเป็นเพียงประมาณ 1 เซนติเมตรยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร หรือความหนา เมื่อแรกเกิด พวกเขามีสีเขียวเข้มสี และมีความอยากที่โลภ จากช่วงเวลาของการเกิด พวกเขาจะกินใบหม่อนที่ได้รับอย่างรอบคอบล้างแห้งและสับ ในช่วงแรก เขาต้องเลี้ยงรอบนาฬิกามากเลย

มี appetites ของพวกเขาปริมาณมากมายทำลายหนอนผีเสื้อเหล่านี้เพราะพวกเขาจะเติบโตในอัตราที่รวดเร็วมาก . ในความเป็นจริง , พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วดังนั้นที่ผิวหนังของพวกเขาไม่ประกอบด้วยร่างกายของพวกเขา สำหรับเหตุผลที่พวกเขาหลั่งผิวหนังของพวกเขาสี่ครั้งเพื่อช่วยให้พวกเขาเติบโต ก่อนที่ในที่สุดก็ปั่นของพวกเขาไหมดักแด้ มันคือช่วงเวลาที่ศพไหม ' ค่อยๆเติมวัตถุดิบของเหลวไหม

ขั้นตอนสุดท้ายของการดำรงอยู่ของมันเป็นหนอนผีเสื้อเป็นปั่นของรังไหม ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของของเหลวหมุนหัว ผ้าไหมจากต่อมบนริมฝีปากล่างของหนอนผีเสื้อซึ่งแข็งตัวเมื่อสัมผัสกับอากาศบางรูปสามเหลี่ยมรูปริบบิ้น ปั่นหลายพันชิ้นเล็กๆรูปแปดรูปห่วงไหม ตัวไหม จะใช้เวลา 4-5 วัน ที่งานนี้ไม่มีหยุด . .

รังไหมจะรวบรวมและวางไว้ในหม้อเดือด . ดักแด้ออก และ สาม หรือ สี่ เส้นใยจะรวมตัวกันและแนบไปกับค่าใช้จ่ายลูกกลิ้ง ชาวอีสาน จะนิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งนี้ขั้นตอนของกระบวนการเป็นดักแด้จะเสิร์ฟเป็นอาหารอันโอชะต้มอร่อย มันรสชาติเหมือนข้าวโพดและเป็นอย่างมากที่อุดมไปด้วยโปรตีน เห็นคนไทยชอบกินทุกอย่าง

ผ้าเส้นใยจากรังไหมช้าใช้ได้ แผลลงบนแกนไม้ แล้วปั่นเป็นเส้นด้ายหรือไหมพรม ผ้าไหมเป็นเส้นใยจากธรรมชาติไทย ทองสี และรังไหมประกอบด้วยเส้นใยเดี่ยวที่มักจะตราบใดที่ 500 เมตร

ในขั้นตอนนี้ คือ การล้างและฟอกเส้นไหมจนเป็นครีมขาว แล้วพร้อมจะย้อม สีใด ๆ เดิมทีสีผักเท่านั้น แต่ใช้คนไทยชอบของสีสันสดใสเร็วๆ นี้นำไปสู่การใช้สีสังเคราะห์ ซึ่งเป็น colourfast และถาวรกว่าสีย้อมผัก หลังนี้ กระทู้จะถูกล้าง และยืด และเมื่อแห้งลงบนแผล กลอง พร้อมสําหรับทอผ้า

ผ้าไหมที่ผลิตในลักษณะนี้ แตกต่างมากจากที่ทำในอื่น ๆหลักของประเทศที่ผลิตผ้าไหม .ผ้าไหมจีนมีแนวโน้มจะราบรื่นและผ้าแพร ในขณะที่ผ้าไหมอินเดียมีแนวโน้มที่จะเบา สีดีขึ้นและมีลักษณะเป็นเกลียวคลื่นมากกว่า ผ้าไหมอิตาลีมีลักษณะการกลั่นและสง่างามของแฟชั่นสูงและผ้าไหมไทย โครงการธรรมชาติผสมพื้นผิวและลวดลายที่เป็นดังนั้นลักษณะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไหมไทยจะโตเป็นหลัก บนที่ราบสูงโคราช ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือแม้ว่าส่วนใหญ่ของการผลิตผ้าไหมจะเกิดขึ้นในพื้นที่เชียงใหม่ บนมือเล็ก looms ที่โรงงานเหล่านี้มีทักษะทอผ้าสามารถผลิตเพียงประมาณสี่เมตรของผ้าในวันเดียว

ส่วนใหญ่เหล่านี้ศูนย์ทอผ้าไหม มีโชว์รูมโรงงานของตัวเองกับเหลือเชื่อ ขายอาร์เรย์ของผลิตภัณฑ์ที่มีหลากหลายสี , รูปแบบ , ป่า