ความขัดแย้งเรื่องประเพณีรับน้องมักถูกมองว่าเป็นปัญหาด้านเดียวมาโดยตลอดจากทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนกิจกรรม โดยฝ่ายต่อต้านก็มักจะมองว่า ต้นตอทั้งหมดของปัญหาเกิดจากฝ่ายสนับสนุนซึ่งใช้ความรุนแรงและการบังคับกดขี่ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ในขณะที่ผู้สนับสนุนก็จะมองในทางตรงกันข้าม คือฝ่ายต่อต้านรับน้องคือผู้ที่เห็นแก่ตัว ไม่ยอมเสียสละเพื่อส่วนรวม ด้วยเหตุนี้ ทางออกของปัญหาที่มีการเสนออยู่จึงมักเป็นการให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องยอมสยบราบต่ออีกฝ่าย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ท้ายที่สุด ไม่มีใครยอมใคร เพราะต่างคนก็เชื่อว่าตัวเองถูกต้อง ปัญหาการรับน้องจึงยังไม่มีท่าทีว่าจะคลี่คลายมาจนถึงทุกวันนี้
เพื่อเป็นการทำความเข้าใจและหาหนทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวเสียใหม่ เราจึงควรลองปรับทัศนคติต่อปัญหาดูว่า แท้ที่จริงแล้ว ปัญหาความขัดแย้งเรื่องประเพณีรับน้องเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากทุกฝ่าย และการแก้ปัญหาก็จึงควรเป็นทุกฝ่ายที่ปรับตัวเข้าหากัน
สาเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้ง
สาเหตุของความขัดแย้งเรื่องประเพณีรับน้อง แท้ที่จริงแล้วอาจไม่ได้เกิดจากการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้เหตุผลน้อยกว่า รับฟังความเห็นต่างน้อยกว่า หรือมีความรับผิดชอบต่อสังคมน้อยกว่า ดังที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อและพยายามนำมาใช้โจมตีกันและกัน แต่อาจเป็นปัญหาขั้นพื้นฐาน ซึ่งก็คือความเชื่อที่แตกต่างกันระหว่างผู้ที่ต่อต้านและสนับสนุนระบบโซตัส[1] โดยที่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ข้อกล่าวอ้างของตนเองได้อย่างชัดเจน
การที่ฝ่ายต่อต้านประเพณีรับน้องเชื่อว่าระบบโซตัสเป็นสิ่งไม่ดีและไม่สามารถสร้างความสามัคคีได้ดังที่กล่าวอ้างนั้นนั้น ถึงแม้จะมีการโจมตีกิจกรรมรับน้องด้วยหลากหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นการบีบบังคับหรือการใช้ความรุนแรงในกิจกรรมซึ่งดูจะไม่เข้ากับสังคมสมัยใหม่ที่มีความตื่นตัวด้านสิทธิเสรีภาพ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าความคิดดังกล่าวเป็นเพียง “ความเชื่อ” อย่างหนึ่งที่ยืนบนหลักการเท่านั้น ในการถกเถียงเรื่องปัญหารับน้องโดยทั่วไป เรามักจะได้ยินข้อกล่าวหาจากฝ่ายสนับสนุนระบบโซตัสอยู่เสมอว่า ฝ่ายต่อต้านเป็นพวกที่บ้าเหตุผล บ้าหลักการ ไม่เข้าใจสังคมและชีวิตจริง คำกล่าวนี้ถือว่ามีน้ำหนักอยู่ไม่มากก็น้อย เนื่องจากว่าท้ายที่สุดแล้ว ฝ่ายต่อต้านเองก็ยังไม่สามารถพิสูจน์อย่างได้ชัดเจนว่า โซตัสไม่ได้ตอบจุดประสงค์ของมันเองเรื่องความสามัคคี—กล่าวให้ชัดคือ ถึงแม้เราจะมีสมมติฐานและหลักการที่แน่นหนาเพียงใด แต่เราก็ยังไม่ได้ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์หรือไม่มีข้อมูลทางสถิติมายืนยันสมมติฐานนั้น ดังนี้ ท้ายที่สุดแล้วการกล่าวว่าระบบโซตัสไม่ช่วยสร้างความสามัคคีจึงยังเป็นเพียงแค่ความเชื่ออย่างหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่เชื่อในประเพณีรับน้องแบบโซตัสก็ยังไม่สามารถพิสูจน์สมมติฐานของตนเองที่ว่า “ระบบโซตัสช่วยสร้างความสามัคคี” ได้เช่นกัน ถึงแม้ผู้สนับสนุนระบบโซตัสหลายคนจะให้เหตุผลว่า ในเมื่อปัจจุบันมีการใช้ระบบโซตัสอยู่ และนักศึกษาที่เคยผ่านระบบดังกล่าวมาแล้วก็สามัคคีกันดี จึงแปลว่าโซตัสทำให้คนสามัคคีกัน อย่างไรก็ตาม นี่คือการเชื่อมโยงเหตุและผลที่ผิดพลาด การเกิดความสามัคคีในหมู่นักศึกษานั้นมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการที่คนได้ใช้ชีวิตร่วมกันในมหาวิทยาลัยเป็นเวลานาน การสังสรรค์ เช่น การชวนกันไปกินเหล้า หรือการทำงานร่วมกัน ซึ่งไม่แน่ว่าโซตัสอาจไม่ใช่หนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อความสามัคคีเลยก็เป็นได้ ในเมื่อไม่มีการพิสูจน์ที่ชัดเจนดังนี้ จึงทำให้การสรุปว่า ระบบโซตัสช่วยสร้างความสามัคคี เป็นเพียงแค่ความเชื่ออีกอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
ในเมื่อต่างฝ่ายต่างถือความเชื่อซึ่งไม่ได้รับการพิสูจน์ หรือหากจะทำการพิสูจน์ก็เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ จึงทำให้ความขัดแย้งในเรื่องดังกล่าวไม่สามารถหาข้อสรุปได้โดยง่าย และในเมื่อต่างฝ่ายต่างเชื่อว่าตนเองอยู่ข้างความดีงามและฝ่ายตรงข้ามคือความชั่วร้าย ไม่มีฝ่ายใดเลยพยายามมองผู้อื่นว่า เขาก็เป็นเพียงคนที่คิดต่างจากเราเท่านั้น จึงทำให้การถกเถียงในประเด็นปัญหาการรับน้องแต่ละครั้งมักจะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งมีทีท่าว่าจะบานปลายออกไปเรื่อยๆไม่จบสิ้น
ความผิดพลาดของขบวนการต่อต้านระบบโซตัสในรูปแบบปัจจุบัน
เหตุการณ์ประท้วงการรับน้องที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเมื่อช่วงปีแล้ว[2] รวมถึงการที่คุณคำ ผกา(ลักขณา ปันวิชัย)ได้ออกมาวิจารณ์การรับน้องอย่างดุเดือดที่มหาวิทยาลัยศิลปากร[3] จนท้ายที่สุด เจ้าตัวถึงกับต้องออกมากล่าวขอโทษในรายการ “คิดเล่นเห็นต่างกับคำผกา” ดูเหมือนจะได้สร้างความตื่นตัวครั้งใหญ่ให้กับขบวนต่อต้านการรับน้องทั่วประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวก็ยังได้สะท้อนให้เห็นปัญหาใหญ่สองประการของขบวนการต่อต้านโซตัส นั่นก็คือ ปัญหาการใช้ภาษาสื่อสารกับผู้ที่เห็นต่าง และความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับอุดมการณ์สิทธิเสรีภาพ
การเสวนาหรือถกเถียงในประเด็นการรับน้องหลายครั้ง ดังเช่นการที่คุณคำผกาวิจารณ์การรับน้องที่มหาวิทยาลัยศิลปากร สะท้อนให้เห็นถึงระดับความรุนแรงและความไม่ประณีตในการใช้ภาษาของผู้ที่ต่อต้านโซตัสบางส่วน โดยถ้อยคำซึ่งพบเห็นได้บ่อยที่ถูกใช้ในการโจมตีก็คือ “โง่” “ปัญญาอ่อน” “ไร้สาระ” “เผด็จการ” ฯลฯ ซึ่งปัญหาสำหรับการใช้ถ้อยคำเหล่านี้ก็คือ เป็นการทำให้ผู้ที่สนับกิจกรรมรับน้องอยู่แต่แรกเกิดความรู้สึกต่อต้านทันที และไม่อยากฟังเหตุผลใดๆต่อ จึงทำการถกเถียงไม่สร้างประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแม้แต่การผลิตซ้ำคำแทนอุดมการณ์บ่อยๆอย่าง “สิทธิเสรีภาพ” หรือ “ความเท่าเทียม” ก็ไม่ก่อให้เกิดความเข้าเช่นกัน เช่นว่า คำว่า “สิทธิเสรีภาพ” สำหรับผู้ที่ต่อต้านโซตัสมักจะหมายถึงเสรีภาพที่อยู่เหนือกรอบประเพณีวัฒนธรรม แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในระบบโซตัสนั้น กรอบประเพณีวัฒนธรรมเปรียบเสมือนเป็นหลักศีลธรรมที่กำหนดความดีงาม ดังนั้น เสรีภาพต้องอยู่ภายใต้กรอบดังกล่าวจึงจะถือเป็นเสรีภาพที่แท้จริง ในเมื่อนิยามของคำบางแตกต่างกันมากมายถึงขนาดนี้ตั้งแต่แรก การสื่อสารโดยการพยายามผลิตซ้ำคำในลักษณะดังกล่า