Positivism or the Positive Philosop

Positivism or the Positive Philosophy

The French philosopher Auguste Comte (1798-1857) formulated a form of empiricism, which he called Positivism or the Positive Philosophy. As John Stuart Mill explains, Comte believed

We have no knowledge of anything but Phænomena; and our knowledge of phænomena is relative, not absolute. We know not the essence, nor the real mode of production, of any fact, but only its relations to other facts in the way of succession or of similitude. These relations are constant; that is, always the same in the same circumstances. The constant resemblances which link phænomena together, and the constant sequences which unite them as antecedent and consequent, are termed their laws. The laws of phænomena are all we know respecting them. Their essential nature, and their ultimate causes, either efficient or final, are unknown and inscrutable to us. [emphasis added]

“Comte,” Mill adds, “claims no originality for this conception of human knowledge,” for he believed anyone who “made any real contribution to science” implicitly adopted what he terms Positivism, and he considered Bacon, Descartes, and Galileo “as collectively the founders of the Positive Philosophy,” which came to fruition with Newton.

As Mill also points out, Comte's uniqueness lay therefore not in originating Positivism but in placing it within a theory of history that claims human culture developed (and always must develop) in three stages:

1. Theological: In this stage human beings rely on supernatural agencies to explain what they can't explain otherwise.

The Theological, which is the original and spontaneous form of thought, regards the facts of the universe as governed not by invariable laws of sequence, but by single and direct volitions of beings, real or imaginary, possessed of life and intelligence. In the infantile state of reason and experience, individual objects are looked upon as animated. The next step is the conception of invisible beings, each of whom superintends and governs an entire class of objects or events. The last merges this multitude of divinities in a single God, who made the whole universe in the beginning, and guides and carries on its phaenomena by his continued action, or, as others think, only modifies them from time to time by special interferences. [Mill's summary]

2. Metaphysical: In this stage human beings attribute effects to abstract but poorly understood causes.

Metaphysical, accounts for phaenomena by ascribing them, not to volitions either sublunary or celestial, but to realized abstractions. In this stage it is no longer a god that causes and directs each of the various agencies of nature: it is a power, or a force, or an occult quality, considered as real existences, inherent in but distinct from the concrete bodies in which they reside, and which they in a manner animate. Instead of Dryads presiding over trees, producing and regulating their phaenomena, every plant or animal has now a Vegetative Soul. [Mill's summary]

3. Positive: Human beings now understand the scientific laws that control the world.

In explaining his ideas and contributions, Mill admits that Comte's choice of terminology might confuse a British audience: “Instead of the Theological we should prefer to speak of the Personal, or Volitional explanation of nature; instead of Metaphysical, the Abstractional or Ontological: and the meaning of Positive would be less ambiguously expressed in the objective aspect by Phaenomenal, in the subjective by Experiential.”

Comte's contributions

Comte also founded the social sciences, and it is important to remember in our more cynical times the ideals to which they aspired. Comte and other early social scientists assumed that human behavior must obey laws just as strict as Newton's laws of motion, and that if we could discover them, we could eliminate moral evils -- in exactly the same way that medical scientists were then discovering how diseases worked and were eliminating much of the physical suffering which had always been an inevitable part of the human condition. In his earlier, less systematic works he influenced such figures as J.S. Mill, T.H. Huxley, George Henry Lewes, and George Eliot; all gradually fell away as his philosophy became more rigidly systematic.

The Religion of Humanity
In “what M. Comte termed his second career, in which the savant, historian, and philosopher of his fundamental treatise, came forth transfigured as the High Priest of the Religion of Humanity" (Mill), he systematized Positivism as a secular religion complete with priests and a calendar of saints, driving away his major disciples one by one. Nonetheless, as comments by John Ruskin and many other Victorians who used the phrase "Religion of Humanity" suggest, he importantly influenced those, like Eliot, who were no longer his disciples or those, like Ruskin, who had never been one.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

Positivism หรือปรัชญาบวก

นักปราชญ์ฝรั่งเศสเซฟคอมท์ (1798-ค.ศ. 1857) สูตรแบบของ empiricism ซึ่งเขาเรียกว่า Positivism หรือปรัชญาบวก ขณะที่จอห์นสจ๊วตมิลล์อธิบาย คอมท์เชื่อ

เรามีความรู้ของ anything but Phænomena และเรารู้ phænomena เป็นญาติ ไม่แน่นอน เรารู้ว่าไม่สำคัญ หรือโหมดจริงผลิต ข้อเท็จจริงใด ๆ แต่เท่าที่ความสัมพันธ์กับข้อเท็จจริงอื่น ๆ ทางบัลลังก์ หรือ similitude ความสัมพันธ์เหล่านี้จะคง นั่นคือ เสมอเหมือนกันในสถานการณ์เดียวกัน Resemblances คงที่ซึ่งเชื่อมโยงกัน phænomena และลำดับที่คงที่ซึ่งหลอมรวมพวกเขาเป็น antecedent และทอด เรียกว่ากฎหมาย กฎหมายของ phænomena มีทั้งหมดเรารู้เคารพพวกเขา ธรรมชาติที่สำคัญของพวกเขา และที่ดีที่สุดของพวกเขา ทำ มีประสิทธิภาพ หรือขั้นสุดท้าย รู้จัก และ inscrutable เรา [เน้นเพิ่ม]

"คอมท์ โรงงานผลิตเพิ่ม "อ้างว่า ไม่มีความคิดริเริ่มสำหรับความคิดนี้ความรู้ของมนุษย์ สำหรับเขาเชื่อว่า ทุกคนที่ "ทำเงินสมทบวิทยาศาสตร์ใด ๆ จริง" นัย ถึงสิ่งที่เขาข้อ Positivism และเขาถือว่าเบคอน Descartes และกาลิเลโอ "โดยรวมเป็นผู้ก่อตั้งของปรัชญาบวก ซึ่งจะบรรลุผลกับนิวตันมา

มิลล์ยังชี้ให้เห็น วางเอกลักษณ์ของคอมท์จึงไม่เกิด Positivism แต่วางไว้ภายในทฤษฎีของ ประวัติที่อ้างวัฒนธรรมมนุษย์พัฒนา (และมักจะต้องพัฒนา) ในขั้นตอนที่ 3:

1 ศาสนศาสตร์: ในขั้นนี้ มนุษย์พึ่งพาหน่วยงานเหนือธรรมชาติเพื่ออธิบายสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่น

ศาสนศาสตร์ ซึ่งเป็นแบบดั้งเดิม และขาดความคิด พิจารณาข้อเท็จจริงของจักรวาลเป็นไปตามกฎหมายปรากฏลำดับไม่ แต่เดียว และตรง volitions ของสิ่งมีชีวิต จริง หรือ จินตภาพ ต้องมีชีวิตและปัญญา ในสถานะ infantile ของเหตุผลและประสบการณ์ วัตถุแต่ละวัตถุจะมองเป็นภาพเคลื่อนไหว ขั้นตอนถัดไปคือ ความคิดของสิ่งมีชีวิตมองไม่เห็น แต่ละคน superintends และควบคุมการเรียนทั้งหมดของวัตถุหรือเหตุการณ์ ล่าสุดผสานหลากหลายนี้ divinities ในเดียวพระเจ้า ผู้สร้างจักรวาลทั้งหมดในการเริ่มต้น และแนะนำ และสานต่อของ phaenomena โดยการกระทำของเขาอย่างต่อเนื่อง หรือ ขณะที่คนอื่นคิด เท่านั้นปรับเปลี่ยนพวกเขาเวลา โดย interferences พิเศษ [โรงงานผลิตของสรุป]

2 ขัดแย้ง: ในแอตทริบิวต์นี้มนุษย์ขั้น ผลย่อแต่ไม่ดีเข้าใจสาเหตุ

phaenomena โดย ascribing พวกเขา การ volitions sublunary หรือ ฑูต ขัดแย้ง บัญชี แต่การรับรู้ abstractions ในขั้นตอนนี้ ไม่มีพระเจ้าที่ทำให้เกิด และนำแต่ละหน่วยงานต่าง ๆ ของธรรมชาติ: ก็กำลัง หรือบังคับ หรือคุณภาพรหัสญาณ ถือว่าเป็นจริง existences ใน แต่แตกต่างจากเนื้อคอนกรีตซึ่งพวกเขาอยู่ และที่พวกเขาในลักษณะเคลื่อนไหว แทน Dryads พยานผ่านต้นไม้ ผลิต และควบคุม phaenomena ของพวกเขา ทุกพืชหรือสัตว์ได้ตอนนี้จิตวิญญาณผักเรื้อรัง [โรงงานผลิตของสรุป]

3 บวก: มนุษย์ตอนนี้เข้าใจกฎหมายวิทยาศาสตร์ที่ควบคุมโลก

ในการอธิบายความคิดและผลงานของเขา โรงสียอมรับว่า เลือกของคอมท์ศัพท์อาจสับสนผู้ชมอังกฤษ: "แทนศาสนศาสตร์ที่เราควรต้องพูดส่วนบุคคล หรืออธิบายธรรมชาติ Volitional แทนที่จะเลื่อนลอย Abstractional หรือ Ontological: และความหมายของค่าบวกจะน้อย ambiguously แสดงในด้านวัตถุประสงค์ โดย Phaenomenal ในตามอัตวิสัยโดย Experiential "

ผลงานของคอมท์

คอมท์ยังก่อตั้งสังคมวิทยา และมันเป็นสิ่งสำคัญในเราลลดมากขึ้นเวลาที่พวกเขา aspired อุดมคติ คอมท์และอื่น ๆ นักวิทยาศาสตร์สังคมต้นสันนิษฐานว่า มนุษย์ต้องปฎิบัติตามกฎหมายเพียงเป็นเข้มงวดตามกฎของนิวตันการเคลื่อน และที่ถ้าเราสามารถค้นพบ เราสามารถกำจัดความชั่วร้ายทางศีลธรรม - ตรงแบบเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้แล้วค้นพบว่าโรคทำงาน และถูกตัดมากจริงทุกข์ทรมานที่ได้เสมอหนึ่งสภาพมนุษย์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในพระรุ่นก่อนหน้า น้อยกว่าระบบการทำงาน เขามีอิทธิพลต่อตัวเลขดังกล่าว เป็นโรง งานเจเอส T.H. Huxley, Lewes เฮนรีจอร์จ จอร์จเอเลีย ต น่ากลัวทั้งหมดค่อย ๆ ไป ตามปรัชญาของเขาเป็นระบบมาก rigidly

ศาสนาของมนุษยชาติ
ใน "อะไรคอมท์เมตรเรียกว่าอาชีพที่สองของเขา ซึ่ง savant นักประวัติศาสตร์ และนักปราชญ์ของพระธรรมศาสตร์พื้นฐาน มามาทรานสฟิเกอร์ดเป็นปุโรหิตของศาสนาของมนุษยชาติ" (โรงสี), เขาจัดระบบได้ง่าย Positivism เป็นศาสนาทางโลกกับปุโรหิตและปฏิทินของนักบุญ, ขับไปสาวกสำคัญที กระนั้น เป็นความคิดเห็นโดยจอห์นรัสคิ่นและ Victorians อื่น ๆ มากมายที่ใช้วลี "ศาสนาของมนุษยชาติ" แนะนำ เขาสำคัญมีอิทธิพลต่อบรรดา เช่นเอเลียต ที่มีสาวกหรือผู้ เช่นรัสคิ่น ที่ไม่เคยได้หนึ่ง

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

Positivism หรือปรัชญาบวกนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสออ Comte (1798-1857) กำหนดรูปแบบของประสบการณ์นิยมซึ่งเขาเรียกว่า Positivism หรือปรัชญาเชิงบวก ขณะที่จอห์นสจ็วร์อธิบาย Comte เชื่อว่าเรามีความรู้อะไร แต่ Phaenomena ไม่มี และความรู้ของเรา Phaenomena เป็นญาติไม่แน่นอน เรารู้ว่าไม่สำคัญหรือโหมดที่แท้จริงของการผลิตของความเป็นจริงใด ๆ แต่เพียงความสัมพันธ์กับข้อเท็จจริงอื่น ๆ ในทางของความสำเร็จหรืออุปมาของ ความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นค่าคงที่; ซึ่งก็คือเสมอกันในสถานการณ์เดียวกัน คล้ายคลึงคงที่ซึ่งเชื่อมโยง Phaenomena กันและลำดับอย่างต่อเนื่องซึ่งรวมกันพวกเขาเป็นมาก่อนและเกิดขึ้นจะเรียกว่ากฎหมายของพวกเขา กฎหมายของ Phaenomena เป็นทั้งหมดที่เรารู้ว่าพวกเขาเคารพ ธรรมชาติที่สำคัญของพวกเขาและสาเหตุที่ดีที่สุดของพวกเขาทั้งที่มีประสิทธิภาพหรือสุดท้ายเป็นที่รู้จักและเข้าใจยากให้เรา [เน้นเพิ่ม] "Comte," มิลล์กล่าวเสริมว่า "การเรียกร้องสำหรับความคิดริเริ่มของความรู้ของมนุษย์นี้ไม่มี" เพราะเขาเชื่อว่าทุกคนที่ "ทำใด ๆ ที่มีส่วนร่วมที่แท้จริงวิทยาศาสตร์" โดยปริยายนำสิ่งที่เขาแง่ Positivism และเขาคิดว่าเบคอน Descartes, และกาลิเลโอ "เป็นผู้ก่อตั้งร่วมของปรัชญาบวก" ซึ่งต่อมาบรรลุผลด้วยนิวตันในขณะที่โรงสียังชี้ให้เห็นเอกลักษณ์ของ Comte จึงวางไม่ได้อยู่ในที่เกิด Positivism แต่ในการวางมันในทฤษฎีของประวัติศาสตร์ที่อ้างว่าวัฒนธรรมของมนุษย์ที่พัฒนาแล้ว (และ มักจะต้องพัฒนา) ในสามขั้นตอน: 1 ศาสนศาสตร์: ในขั้นตอนนี้มนุษย์ต้องพึ่งพาหน่วยงานที่เหนือธรรมชาติที่จะอธิบายสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่นศาสนศาสตร์ซึ่งเป็นรูปแบบเดิมและโดยธรรมชาติของความคิดที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของจักรวาลเป็นหน่วยงานที่ไม่ได้ตามกฎหมายคงที่ของลำดับ แต่ โดย volitions เดียวและโดยตรงของมนุษย์จริงหรือจินตนาการมีชีวิตและหน่วยสืบราชการลับ ในรัฐของทารกเหตุผลและประสบการณ์แต่ละวัตถุจะมองว่าเป็นภาพเคลื่อนไหว ขั้นต่อไปคือความคิดของสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นแต่ละคน superintends และควบคุมชั้นเรียนทั้งหมดของวัตถุหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ล่าสุดผสานหลากหลายของพีนาตีในเดียวพระเจ้าที่ทำให้ทั้งจักรวาลในการเริ่มต้นและคำแนะนำนี้และดำเนินการเกี่ยวกับการ Phaenomena โดยการดำเนินการอย่างต่อเนื่องของเขาหรือเป็นคนอื่นคิดว่าเพียงปรับเปลี่ยนพวกเขาเป็นครั้งคราวโดยรบกวนพิเศษ [สรุปโรงงาน] 2 เลื่อนลอย: ในขั้นตอนนี้ผลกระทบที่มนุษย์เชื่อที่เป็นนามธรรม แต่เข้าใจสาเหตุอภิปรัชญาบัญชีสำหรับ Phaenomena โดยโทษพวกเขาไม่ volitions ทั้ง sublunary หรือสวรรค์ แต่แนวคิดตระหนัก ในขั้นตอนนี้มันไม่ได้อยู่ที่เป็นสาเหตุของพระเจ้าและนำแต่ละหน่วยงานต่างๆของธรรมชาติมันเป็นพลังหรือแรงหรือคุณภาพไสยถือว่าเป็นดำรงชีวิตที่แท้จริงอยู่ในตัว แต่แตกต่างจากหน่วยงานที่เป็นรูปธรรมในการที่ พวกเขาอาศัยอยู่และสิ่งที่พวกเขาเคลื่อนไหวในลักษณะ แทน Dryads ประธานต้นไม้, การผลิตและการควบคุมของพวกเขา Phaenomena ทุกพืชหรือสัตว์มีตอนนี้จิตวิญญาณของพืช [สรุปโรงงาน] 3 เชิงบวก: มนุษย์ตอนนี้เข้าใจกฎทางวิทยาศาสตร์ที่ควบคุมโลกในการอธิบายความคิดและการมีส่วนร่วมของเขามิลล์ยอมรับว่าทางเลือกไหนของคำศัพท์ที่อาจสร้างความสับสนให้ผู้ชมชาวอังกฤษ: "แทนศาสนศาสตร์ที่เราควรจะเลือกที่จะพูดถึงบุคคลหรือ Volitional คำอธิบายของธรรมชาติ แทนอภิปรัชญา Abstractional หรือ Ontological และความหมายของการบวกจะน้อยคลุมเครือแสดงออกในด้านวัตถุประสงค์โดย Phaenomenal ในส่วนตัวโดยประสบการณ์ ". การมีส่วนร่วม Comte ของComte ยังได้ก่อตั้งสังคมศาสตร์และเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ในของเรา ครั้งเหยียดหยามมากขึ้นอุดมคติที่พวกเขาสร้างแรงบันดาลใจ Comte และนักวิทยาศาสตร์ทางสังคมอื่น ๆ ในช่วงต้นสันนิษฐานว่าพฤติกรรมของมนุษย์จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกับกฎหมายของนิวตันของการเคลื่อนไหวและถ้าเราสามารถค้นพบพวกเขาเราสามารถกำจัดความชั่วร้ายทางศีลธรรม - ในตรงเช่นเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้แล้วค้นพบวิธีรักษาโรค ทำงานและได้รับการกำจัดมากของความทุกข์ทรมานทางกายภาพที่ได้รับเสมอเป็นส่วนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ของความเป็นมนุษย์ ในการทำงานก่อนหน้านี้เป็นระบบน้อยของเขาที่เขาได้รับอิทธิพลตัวเลขเช่นเจล, TH ฮักซ์ลีย์, จอร์จเฮนรี่ลูอิสและจอร์จเอเลียต; ทั้งหมดค่อยๆลดลงไปเป็นปรัชญาของเขากลายเป็นระบบมากขึ้นอย่างเหนียวแน่นศาสนาของมนุษยชาติใน "สิ่งที่เรียกว่าเอ็ม Comte อาชีพที่สองของเขาในการที่เมธีประวัติศาสตร์และนักปรัชญาของตำราพื้นฐานของเขามาเปลี่ยนมาเป็นนักบวชชั้นสูงของ ศาสนาของมนุษยชาติ "(มิลล์) เขาจัดระบบ Positivism เป็นศาสนาฆราวาสที่สมบูรณ์พร้อมกับปุโรหิตและปฏิทินของเซนต์ส, ขับรถออกไปสาวกที่สำคัญของเขาหนึ่งโดยหนึ่ง. อย่างไรก็ตามเป็นความคิดเห็นโดยจอห์นรัสกินและวิกตอเรียอื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้ในวลีที่ว่า" ศาสนา ของมนุษยชาติ "ขอแนะนำให้เขาเหล่านั้นมีอิทธิพลที่สำคัญเช่นเดียวกับเอลเลียตที่เขาไม่ได้เหล่าสาวกของพระองค์หรือผู้ที่ชอบรัสกินที่ไม่เคยเป็นหนึ่ง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ปรัชญาปฏิฐานนิยมหรือ

ฝรั่งเศสออกุสต์ กงต์ นักปรัชญา บวก ( 1798-1857 ) กำหนดรูปแบบของประสบการณ์นิยม ซึ่งเขาเรียกปฏิฐานนิยมหรือปรัชญาที่เป็นบวก เป็นจอห์นสจ๊วตมิลล์อธิบายคอมเชื่อ

เราไม่มีความรู้อะไร แต่æ nomena อ และความรู้ของ æ nomena เป็นญาติ ไม่ได้แน่นอน เรารู้ว่าไม่ใช่แก่นแท้ หรือจริงโหมดของการผลิตของความเป็นจริงแต่ความสัมพันธ์ของข้อเท็จจริงอื่น ๆ ในทางของความสำเร็จหรือความคล้ายกัน ความสัมพันธ์เหล่านี้จะคงที่ นั่นคือ เสมอกันในสถานการณ์เดียวกัน ค่า pH æ nomena คล้ายคลึงซึ่งเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และคงที่ ซึ่งรวมกันเป็นลำดับและเป็น termed มาก่อนจึง , กฎหมายของพวกเขา กฎหมายของ æ nomena ทั้งหมดเรารู้จักเคารพพวกเขา ลักษณะสําคัญของตนและสาเหตุสุดท้ายของพวกเขาทั้งมีประสิทธิภาพ หรือสุดท้าย จะไม่รู้จัก และไม่อาจหยั่งรู้ได้ถึงเรา [ เน้นที่เพิ่ม ]

" Default " โรงสีเพิ่ม อ้างว่าไม่มีความคิดริเริ่มนี้ความคิดความรู้ของมนุษย์ " เขาเชื่อว่าใครที่ " ทำผลงานจริงใด ๆทางวิทยาศาสตร์ " โดยปริยายรับสิ่งที่เขาแง่ปฏิฐานนิยม และเขาถือว่าเบคอน เดการ์ต ,และกาลิเลโอ " เหมือนของผู้ก่อตั้งปรัชญาเชิงบวก " ซึ่งมาส่งผลกับนิวตัน

ขณะที่โรงสียังชี้ว่า คอมไม่นอนจึงไม่เกิดปฏิฐานนิยม แต่วางไว้ในทฤษฎีของประวัติศาสตร์ที่อ้างว่าพัฒนาวัฒนธรรมของมนุษย์ ( และมักจะต้องพัฒนา ) ในสามขั้นตอน :

1 . ศาสนศาสตร์ :ในขั้นนี้มนุษย์ต้องพึ่งพาหน่วยงานเหนือธรรมชาติที่จะอธิบายสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่น

ศาสนศาสตร์ ซึ่งเป็นรูปแบบเดิมและธรรมชาติของความคิด พิจารณาข้อเท็จจริงของจักรวาลที่ควบคุมโดยกฎหมายของลำดับคงที่ แต่โดยเดียว และตรง volitions ของมนุษย์ที่แท้จริง หรือจินตนาการ สิงแห่งชีวิต และปัญญาในรัฐในเหตุผล และประสบการณ์ วัตถุที่บุคคลจะมองเป็นภาพเคลื่อนไหว ขั้นตอนต่อไปคือความคิดของมนุษย์มองไม่เห็น ซึ่ง superintends และควบคุมชั้นเรียนทั้งหมดของวัตถุหรือเหตุการณ์ ล่าสุดผสานหมู่นี้ divinities ในพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงสร้างจักรวาลในการเริ่มต้นและคู่มือของ phaenomena และดําเนินการอย่างต่อเนื่องของเขาหรือตามที่คนอื่นคิด เพียงปรับเปลี่ยนพวกเขาตลอดเวลา โดยจากการศึกษาพิเศษ [ สรุป ] มิลล์

2 อภิปรัชญา : ในขั้นตอนนี้ มนุษย์ แอตทริบิวต์ต่อนามธรรม แต่ไม่ค่อยเข้าใจสาเหตุ

ซึ่งบัญชีสำหรับ phaenomena โดยจำเค้าไม่ได้จะ volitions ทั้งใต้พระจันทร์ หรือท้องฟ้าแต่รู้ว่านามธรรม . ในขั้นตอนนี้คือ ไม่มี พระเจ้าว่า สาเหตุ และชี้นำของแต่ละหน่วยงานต่าง ๆของธรรมชาติ : เป็นพลังงาน หรือบังคับ หรือไสยศาสตร์ คุณภาพถือว่าไม่ตั้งใจจริง อยู่ในตัว แต่ที่แตกต่างจากคอนกรีตในร่างกายที่พวกเขาอาศัยอยู่และที่พวกเขาในลักษณะที่เคลื่อนไหว . นางไม้เป็นประธานแทนต้นไม้การผลิตและควบคุม phaenomena ของทุกพืชหรือสัตว์มีวิญญาณผัก [ สรุป ] มิลล์

3 บวก : มนุษย์ตอนนี้เข้าใจวิทยาศาสตร์กฎหมายที่ควบคุมโลก

ในการอธิบายแนวคิดและผลงานของเขา โรงสียอมรับว่าคอมเป็นทางเลือกของคำศัพท์อาจจะสับสนผู้ชมอังกฤษ : " แทนของศาสนศาสตร์ที่เราควรจะชอบที่จะพูดของบุคคลหรือความปรารถนาที่อธิบายธรรมชาติ แทนที่จะอภิปรัชญาหรือภววิทยา , abstractional และความหมายของการบวกจะน้อยกว่าการแสดงออกในด้านวัตถุประสงค์ โดย phaenomenal ในหัวข้อเรื่องด้วยประสบการณ์ "

คอมช่วย

คอมยังก่อตั้ง สังคมศาสตร์ และมันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ในเหยียดหยามครั้ง อุดมคติที่พวกเขาใฝ่ฝัน .Default และนักวิทยาศาสตร์ทางสังคมแรกสันนิษฐานว่าพฤติกรรมมนุษย์ต้องเชื่อฟังกฎหมายอย่างเข้มงวดตามกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน ซึ่งถ้าเราสามารถค้นพบเราสามารถขจัดความชั่วร้ายทางศีลธรรม -- ในตรงทางเดียวกันว่า นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้ค้นพบว่าโรคมีการขจัดทุกข์ของร่างกายซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในเงื่อนไขของมนุษย์ ในระบบน้อยกว่าผลงานของเขาก่อนหน้านี้ เขาได้รับอิทธิพลดังกล่าว ตัวเลขเป็น เจ. เอส. มิล t.h. ฮักซ์ลีย์ , จอร์จเฮนรี่ หลุยส์ และ จอร์จ อีเลียต ;ทั้งหมดค่อยๆ ลดลงไปตามปรัชญาของเขากลายเป็น rigidly อย่างเป็นระบบมากขึ้น ศาสนาของมนุษยชาติ

" แล้วเอ็มคอมเรียกว่าอาชีพที่สองของเขา ซึ่งนักปราชญ์ นักประวัติศาสตร์และนักปรัชญาของตำราพื้นฐานของเขาออกมาเปลี่ยนเป็นมหาปุโรหิตแห่งศาสนาของมนุษยชาติ " ( โรงสี ) เขาจัดระบบปฏิฐานนิยมเป็น ฆราวาสศาสนา พร้อมด้วยพระสงฆ์ และปฏิทินของนักบุญขับรถไปสาวกหลักของเขาหนึ่งโดยหนึ่ง เนื่องจากความคิดเห็นโดยจอห์นรัสกินและ วิคต รียนอื่น ๆอีกมากมายที่ใช้วลี " ศาสนาแห่งมนุษยชาติ " แนะนำว่า เขานั้นได้รับอิทธิพลเหล่านั้น เช่น อีเลียต ที่ไม่ใช่สาวกหรือผู้ที่ชอบรัสกินที่ไม่เคยหนึ่ง