นักเคมีและนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งไฟฟ้า” (Father of Electricity) ฟาราเดย์เกิดที่กรุงลอนดอน บิดาเป็นช่างตีเหล็กที่ยากจน เขาจึงได้เรียนหนังสือเพียงชั้นประถมก็ต้องออกมาทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ เมื่อเจ้าของร้านเห็นความขยันขันแข็งจึงเลื่อนขั้นให้เขาเป็นเด็กเย็บปกหนังสือ เขาจึงมีโอกาสได้อ่านหนังสือหลากหลายประเภท
กระทั่งได้อ่านหนังสือเคมีของ เจน มาร์เซต (Jane Marcet) และเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในสารานุกรม บริตเทนนิกา (Encyclopedia Britannica) เขาจึงเกิดความฝันที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ให้ได้ ต่อมาก็ได้เป็นผู้ช่วยวิจัยของ ฮัมฟรี เดวี (Sir Humphry Davy) ในช่วงนี้เขาได้อ่านหนังสือวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ด้วยความขยัน และช่างจดจำข้อมูลได้เป็นอย่างดี เขาจึงได้เลื่อนขั้นเป็นเลขานุการของเดวี เขาได้เดินทางไปพบปะกับนักวิทยาศาสตร์หลายคน
ภายหลังเขาก็ได้ขึ้นแสดงปาฐกถาเกี่ยวกับวิชาเคมี ในปี 2376 เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์วิชาเคมีประจำราชบัณฑิตยสภา (Royal Institution) ไม่นานเขาก็ได้ทำงานวิจัยของตนเอง โดยมีความสนใจเรื่องไฟฟ้าเป็นพิเศษ จนในที่สุดก็ค้นพบ การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Induction) จากนั้นก็ได้ประดิษฐ์ "ไดนาโม” (Dynamo) ต้นแบบของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในปัจจุบัน นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้ค้นพบสารประกอบ “เบนซิน” (Benzene) นำเหล็กและนิกเกิลมาผสมกันจนได้โลหะชนิดใหม่ที่เหนียวและไม่เป็นสนิมเรียกว่า “สแตนเลส” (Stainless) และได้บัญญัติศัพท์ทางไฟฟ้าหลายคำ เช่น "ไออน” (lon) หมายถึงประจุ "อิเล็กโทรด” (Electrode) หมายถึงขั้วไฟฟ้า "คาโทด” (Cathode) หมายถึงขั้วลบ "แอโนด” (Anode) หมายถึงขั้วบวก เป็นต้น
ในบั้นปลายชีวิตฟาราเดย์ประสบความสำเร็จทั้งชื่อเสียงและเงินทอง แต่เขาก็ยังคงทำงานค้นคว้าทดลองจนกระทั่งร่างกายไม่เอื้อ เขาลาออกจากราชบัณฑิต ล้มป่วยและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2410 ขณะอายุได้ 76 ปี ต่อมาได้มีการเรียกหน่วยวิทยาศาสตร์ของความจุซึ่งเป็นความสามารถในการเก็บประจุไฟฟ้าไว้ได้ว่า "ฟาราด” (Farad) เพื่อเป็นเกียรติแก่ไมเคิล ฟาราเดย์