สำนักกฎหมายแต่ละสำนักมีความแนวความคิดกับกฎหมายอย่างไร
กฎหมายถือเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ซึ่งจะมีวิวัฒนาการและการพัฒนาตามปัจจัยแวดล้อม และสังคม โดยแต่ละยุคแต่ละสมัยก็จะมีนักคิด นักกฎหมาย ที่มีความเห็นแตกต่างกันในแต่ละสำนักและจะอาศัยอ้างอิงจากแนวความคิดทั่วไปบ้าง จากแนวความคิดในทางศีลธรรมบ้าง หรือจากแนวความคิดที่มุ่งประสงค์ให้เกิดความสงบเรียบร้อยของสังคมบ้าง จึงเกิดแนวทฤษฎีกฎหมายใหญ่ๆ ดังนี้
สำนักกฎหมายธรรมชาติหรือสำนักธรรมนิยม (Natural Law School)[1] โดยในสำนักกฎหมายนี้ จะมีลักษณะทสำคัญสองประการด้วยกัน คือ
ประการแรก จะต้องเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป กล่าวคือ เป็นจริงใจทุกสถานที่ หลักเกณฑ์ที่เป็นจริงในสถานที่หนึ่งต้องเป็นจริงในอีกสถานที่หนึ่งด้วย
ประการที่สอง จะต้องมีลักษณะนิรันดร กล่าวคือ เป็นจริงตลอดไป หมายความว่าเมื่อเป็นจริงในสมัยหนึ่งอีกสมัยหนึ่งก็ต้องเป็นจริงด้วย
บุคคลที่มีความคิดเกี่ยวกับสำนักกฎหมายธรรมชาติในสมัยกรีก-โรมัน
- Aristotle ได้แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ (1)กฎหมายธรรมชาติ (Natural Law) เป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดแบบแผนการปฏิบัติของมนุษย์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการจำนงจงใจของผู้ใด เช่น กฎเกณฑ์ที่ไม่ให้มนุษย์ทำอันตรายผู้อื่น เป็นกฎเกณฑ์สากลที่เป็นกฎหมายธรรมชาติ หรือที่เรียกในทางกฎหมายอาญาว่าเป็นความผิดในตัวเอง(Mala in se) (2)กฎหมายที่มนุษย์กำหนดขึ้น เป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดแบบแผนการปฏิบัติของมนุษย์ซึ่งผู้ปกครองเป็นผู้กำหนดขึ้น หรือเกิดจากแนวปฏิบัติเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องบางประการที่เกิดจากความเจริญของสังคม เช่น กฎจราจร คือกฎแห่งความปลอดภัยในการคมนาคม กฎหมายที่มนุษย์กำหนดขึ้นจึงมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสังคม และผันแปรเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ซึ่งเป็นกฎข้อบังคับกำหนดให้กระทำหรือห้ามมิให้กระทำ หรือที่เรียกในกฎหมายอาญาว่าเป็นความผิดเพราะกฎหมายห้าม(Mala prohibita)
- Cicero มีความเห็นเกี่ยวกับสำนักกฎหมายธรรมชาติว่า กฎหมายที่แท้จริงคือเหตุผลที่ถูกต้อง กลมกลืนสอดคล้องกับธรรมชาติ แผ่ซ่านในทุกสิ่งทุกอย่าง สม่ำเสมอ นิรันดร เป็นกฎหมายที่ก่อให้เกิดหน้าที่โดยคำสั่งให้กระทำและงดเว้นจากความชั่ว เป็นกฎหมายประการเดียวที่เป็นนิรันดร ไม่เปลี่ยนแปลงและมีผลผูกพันทุกชาติทุกภาษา ทุกยุคทุกสมัยตลอดกาล
บุคคลที่มีความคิดเกี่ยวกับสำนักกฎหมายธรรมชาติสมัยกลาง ซึ่งเป็นสมัยที่ยุโรปกลางที่ศาสนาคริสเตียนมีอำนาจครอบงำทางการเมืองการปกครอง กฎหมายจึงถูกอ้างอิงไปตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
- St. Thomas Aquinas สอนว่า กฎเกณฑ์ของจักรวาลและโลกมนุษย์มีอยู่ 4 ประเภท คือ
(1)กฎหมายนิรันดร (Eternal Law) คือแบบแผนการปกครองขององค์ผู้ปกครองใหญ่ หรือแผนของพระผู้เป็นเจ้า เป็นแบบแผนที่เป็นเหตุผลและปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ที่กำกับความเคลื่อนไหวและการกระทำทั้งปวงในจักรวาลสรรพสิ่งที่ดำเนินไปภายใต้ลิขิตอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ล้วนอยู่ภายใต้บังคับและกำกับการของกฎหมายนิรันดร กฎหมายนิรันดรจึงเป็นสิ่งที่มีสารัตถะทางสติปัญญา หรือเหตุผลไม่ใช่เป็นเรื่องเจตจำนง
(2)กฎหมายธรรมชาติ (Natural Law) คือกฎหมายนิรันดร (Lex aeterna) แต่เป็นเฉพาะบางส่วนที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ด้วยเหตุผลของมนุษย์ที่มีอยู่ในตัวทุกคน ความว่า เหตุผลรู้ผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ เพราะเป็นเหตุผลที่ดำรงอยู่ในธรรมชาติของความเป็นคน
(3)กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ (Lex divina) คือกฎเกณฑ์ที่มนุษย์รับรู้ด้วยการชี้ทางสวรรค์ มันเป็นกฎเกณฑ์ทางความเชื่อทางศาสนาหรือทางศีลธรรมที่ชี้ขาดกันด้วยเหตุผลไม่ได้
(4)กฎหมายมนุษย์ (Lex humana) คือบัญชาของเหตุผลเพื่อความดีงามร่วมกันที่บัญญัติขึ้นโดยผู้มีหน้าที่ในการดูแลรักษาประชาคม
บุคคลที่มีความคิดเกี่ยวกับสำนักกฎหมายธรรมชาติสมัยใหม่ หรือยุคRenaissance ซึ่งเป็นยุคทองของกฎหมายธรรมชาติ ที่เน้นธรรมชาติของมนุษย์(Human Nature) ว่ามีสติปัญญาหรือเหตุผล(Reason) และเหตุผลในธรรมชาติมนุษย์ที่เป็นรากฐานของกฎหมายธรรมชาติ ในยุคนี้ความคิดแบบปัจเจกชนนิยม(Individualism) ได้เริ่มก่อตัวและแพร่หลายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ในยุคนี้จึงเกิดปัญหาในทางความคิดว่าสังคมจะดำรงอยู่อย่างไร เพราะต่างคนต่างอยู่ ดังนั้นนักคิดในสมัยนี้จึงเสนอทฤษฎีสัญญาประชาคม(Social Contract Theory)
- John Locke ได้เสนอความคิดที่มีเหตุผล สภาวะตามธรรมชาติของมนุษย์จึงเป็นสภาวะที่มนุษย์มีเสรีภาพโดยสมบูรณ์ไม่มีข้อจำกัด ด้วยเหตุนี้สิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติจึงขาดความแน่นอนและไม่มีหลักประกัน ดังนั้นเพื่อป้องกันข้อพิพาทและเพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความสงบสุข จึงมีการตกลงทำสัญญาเข้าอยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่เรียกว่า สัญญาประชาคม(Social Contract) โดยจะก่อตั้งอำนาจกลางหรือรัฐบาลขึ้นเพื่อทำหน้าที่ให้ความยุติธรรมและรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ซึ่งสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาประชาคมแบบ สัญญาสหภาพ(Pactum Unionis) เป็นสัญญาที่ประชาชนแต่ละคนตกลงโอนอำนาจบางส่วนของตนให้แก่รัฐบาลหรือรัฐ แต่ทุกคนยังคงสงวนไว้ซึ่งสิทธิในชีวิต ทรัพย์สินและเสรีภาพอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์
- Montesquieu ความคิดของMontesquieuที่สำคัญได้ปรากฎอยู่ในหนังสือชื่อ เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย(The Spirit of the Laws) ซึ่งได้อธิบายแนวความคิดเรื่องการแบ่งแยกอำนาจ กล่าวคือ จะต้องแยกอำนาจตรากฎหมาย(อำนาจนิติบัญญัติ) ออกจากอำนาจบังคับการตามกฎหมาย(อำนาจบริหาร) และให้อำนาจพิจารณาพิพากษาคดี(อำนาจตุลาการ) แยกเป็นอิสระจากอำนาจออกกฎหมายและบังคับการตามกฎหมายและให้แต่ละฝ่ายคอยตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน(Checks and Balance) เรียกว่า หลักการแบ่งแยกอำนาจ ถ้าไม่มีการแบ่งแยกอำนาจ การใช้กฎหมายจะเลื่อนลอยไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะอำนาจทั้งหลายรวมศูนย์อยู่ที่คนเดียวหรือองค์กรเดียว
- Jean Jacques Rousseau มีทัศนะว่า ในสภาวะธรรมชาติมนุษย์มีสิทธิเสรีภาพอย่างไม่จำกัด แต่ไม่มีความมั่นคงในสิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติ เพื่อให้เกิดหลักประกันในสิทธิเสรีภาพ มนุษย์จึงตกลงทำสัญญาประชาคมสละสิทธิเสรีภาพที่ไม่จำกัดเมื่อมาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม ซึ่งมีสิทธิเสรีภาพที่ถูกจำกัดภายใต้กฎหมาย และแต่ละคนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของส่วนรวม ด้วยเหตุนี้ทุกคนไม่ได้โอนสิทธิเสรีภาพให้แก่ใคร ประชาชนจึงเป็นทั้งผู้ปกครองและอยู่ภายใต้การปกครองในขณะเดียวกัน
2. สำ