There are a great variety of specie

There are a great variety of species of mistletoe; most of them are evergreen and bear their fruit (generally either red or white berries) in the early winter. Since so few plants remain green in the winter, mistletoe naturally came to be associated with the Christmas season.

The botanical name for the genus of mistletoe is Phoradendron (phor meaning “thief” and dendron meaning “tree” in Greek). As a partly parasitic plant, mistletoe does in fact act like a thief, because it “steals” nutrients from its host tree. But it is only “partly” parasitic, because it has the ability to photosynthesize its own food and survive independently. However, mistletoe is generally found on trees, and it will use whatever means necessary to survive. It has been known to endure extremely harsh weather and even droughts by reaching deep beneath the tree bark of its host to drain water and minerals.

Likely, due to its tenacity to survive, mistletoe came to play a prominent role in many pre-Christian traditions: Druidism, Nordic legend and Greco-Roman mythology.

The Druids believed that mistletoe would make barren animals fertile and would act as a remedy against any kind of poison. Some scholars believe that the practice of kissing under mistletoe originated with the Druid notion that mistletoe helped to “bring forth” life through the union of male and female.

In Norse mythology, mistletoe played a significant role in the story of Balder, the god of light. After Balder became troubled by dreams that he would die, his mother extracted an oath from all the creatures and things on earth not to harm her son. Unfortunately, she overlooked one thing, mistletoe, because she thought it was harmless. Learning of this oversight, a mischievous and jealous god named Loki persuaded another one of the gods to hurl mistletoe at Balder, who died of the wound. The beloved Balder’s death was mourned throughout the world.

This story inspired a curious practice among the Nordic people in which mistletoe would become a symbol of protecting life. Basically, when enemies met under mistletoe, they were obligated to drop their weapons and embrace. Perhaps in honor of Balder, the Nordic people would hesitate to needlessly harm one another. Surely, Balder’s death was pointless and resulted only in sorrow. An embrace would further emphasize the commitment of good will between enemies in the presence of mistletoe. This ancient tradition may be another source for the modern custom of kissing when men and women (sworn enemies throughout history) meet under mistletoe.

The plant also plays a part in Greco-Roman Mythology. In the epic poem Aeneid, the hero Aeneas desires to seek counsel from his deceased father in the land of the dead. A prophetess advises Aeneas that he must seek a “golden bough (branch)” in order to return safely from the land of the dead.

Most scholars believe that the “golden bough” is mistletoe on the branch of a tree, since mistletoe can have a golden-like appearance. Interestingly, since the Middle Ages, Virgil’s writing (the author of Aeneid) has come to be viewed as symbolic and even prophetic regarding many aspects of Christianity. Whether there is any merit to this claim or not, the image of a golden branch certainly calls to mind the many Old Testament references to Messiah as the “Branch.” Since the purpose of Virgil’s golden branch was to save Aeneas from the land of the dead, the reflection of Jesus is further emphasized in the Christian mind.

Interestingly, many of the pre-Christian traditions surrounding mistletoe and its power to protect survived well into the Christian era. Mistletoe was hung over doors as protection from witches and demons, hung in cradles to protect infants from fairies and kept in homes as protection from fires. Surely, mistletoe has no power to offer such protection, but let it serve as a reminder of the One who truly can protect our lives and, more importantly, our souls – Jesus Christ, the One who Isaiah called the “beautiful and glorious Branch of the Lord!”

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

มีหลากหลายพันธุ์มิสเซิลโท ส่วนใหญ่จะมีเอเวอร์กรีน และหมีผลไม้ของพวกเขา (โดยทั่วไปสีแดง หรือสีขาวครบ) ในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เพื่อพืชน้อยยังคงสีเขียวในฤดูหนาว มิสเซิลโทธรรมชาติมาจะเกี่ยวข้องกับเทศกาลคริสต์มาสชื่อพฤกษศาสตร์ของพืชสกุลของมิสเซิลโท Phoradendron (พ่อในความหมาย "ขโมย" และ dendron หมาย "ต้นไม้" ในภาษากรีก) ได้ เป็นพืชบางส่วนเสียงฟู่เหมือนกาฝาก มิสเซิลโทจริงทำเช่นขโมย เนื่องจากมัน "steals" สารอาหารจากต้นไม้ของโฮสต์ แต่มันเป็นเพียง "บางส่วน" เสียงฟู่เหมือนกาฝาก เนื่องจากมีความสามารถในการ photosynthesize อาหารของตนเอง และอยู่รอดเป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม มิสเซิลโทโดยทั่วไปพบบนต้นไม้ และจะใช้เพียงความจำเป็นเพื่อความอยู่รอด รู้จักอดทนต่อสภาพอากาศที่รุนแรงมากและแม้ droughts โดยเข้าถึงลึกใต้เปลือกของโฮสต์การระบายน้ำและแร่ธาตุมาก เนื่องจาก tenacity เพื่อความอยู่รอด มิสเซิลโทมามีบทบาทโดดเด่นในประเพณีก่อนคริสเตียนหลาย: Druidism นอร์ดิคตำนาน และเทพปกรณัมกรีก-การดรูอิดส์ที่เชื่อว่า มิสเซิลโทจะทำให้เป็นหมันสัตว์อุดมสมบูรณ์ และจะทำหน้าที่เป็นการแก้กับพิษชนิดใด นักวิชาการบางคนเชื่อว่า การปฏิบัติของการจูบใต้มิสเซิลโทมา ด้วยความ Druid ว่า มิสเซิลโทช่วย "กำเนิด" ชีวิตผ่านสหภาพของเพศชายและเพศหญิงในเทพปกรณัมนอร์ส มิสเซิลโทเล่นบทบาทสำคัญในเรื่องของ Balder พระแสง หลังจาก Balder กลายเป็นปัญหาตามความฝันที่เขาจะตาย แม่ของเขาแยกสาบานจากสิ่งมีชีวิตและสิ่งต่าง ๆ ในโลกไม่ทำร้ายลูกชายของเธอ อับ เธอข้ามสิ่งหนึ่ง มิสเซิลโท เนื่องจากเธอคิดว่า มันเป็นอันตราย เรียนรู้ของการกำกับดูแลนี้ อีกหนึ่งของพระเจ้าที่เหวี่ยงมิสเซิลโทที่ Balder เกลี้ยกล่อมพระเจ้าซน และอิจฉาชื่อโลกิ คนตายของบาดแผล ความตายของ Balder รักถูก mourned ทั่วโลกเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจปฏิบัติอยากรู้อยากเห็นในหมู่คนนอร์ดิกในมิสเซิลโทซึ่งจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องชีวิต พื้น เมื่อพบศัตรูภายใต้มิสเซิลโท พวกเขาจะปล่อยอาวุธและอ้อมกอดของพวกเขา บางทีในเกียรติของ Balder ชาวนอร์ดิกจะลังเลที่จะทำร้ายกันโดยไม่จำเป็น แน่นอน ความตายของ Balder ถูกประเด็น และผลในความเสียใจ อ้อมกอดจะเพิ่มเติมเน้นความมุ่งมั่นของน้ำใจระหว่างศัตรูในต่อหน้าของมิสเซิลโท ประเพณีโบราณนี้อาจมีแหล่งอื่นสำหรับทันสมัยของการจูบเมื่อชายและหญิง (สาบานศัตรูตลอด) การตอบสนองภายใต้มิสเซิลโทโรงงานยังเล่นเป็นส่วนหนึ่งในเทพปกรณัมกรีก- ในมหากาพย์กลอน Aeneid พระเอกอีเนียสปรารถนาที่จะแสวงหาคำแนะนำจากบิดาผู้ในที่ดินของคนตาย Prophetess การแนะอีเนียสที่ เขาต้องแสวงหาเป็น "สีทองให้เลือกพอควร (สาขา)" การกลับมาอย่างปลอดภัยจากแผ่นดินของคนตายMost scholars believe that the “golden bough” is mistletoe on the branch of a tree, since mistletoe can have a golden-like appearance. Interestingly, since the Middle Ages, Virgil’s writing (the author of Aeneid) has come to be viewed as symbolic and even prophetic regarding many aspects of Christianity. Whether there is any merit to this claim or not, the image of a golden branch certainly calls to mind the many Old Testament references to Messiah as the “Branch.” Since the purpose of Virgil’s golden branch was to save Aeneas from the land of the dead, the reflection of Jesus is further emphasized in the Christian mind.Interestingly, many of the pre-Christian traditions surrounding mistletoe and its power to protect survived well into the Christian era. Mistletoe was hung over doors as protection from witches and demons, hung in cradles to protect infants from fairies and kept in homes as protection from fires. Surely, mistletoe has no power to offer such protection, but let it serve as a reminder of the One who truly can protect our lives and, more importantly, our souls – Jesus Christ, the One who Isaiah called the “beautiful and glorious Branch of the Lord!”

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

มีความหลากหลายของสายพันธุ์ของมิสเซิลโทมี; ส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นป่าดิบและแบกผลไม้ของพวกเขา (โดยทั่วไปทั้งเบอร์รี่สีแดงหรือสีขาว) ในต้นฤดูหนาว ตั้งแต่พืชไม่กี่ดังนั้นยังคงสีเขียวในช่วงฤดูหนาว, มิสเซิลโทธรรมชาติมาเป็นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลคริสต์มาส. ชื่อพฤกษศาสตร์สำหรับประเภทของมิสเซิลโทเป็น Phoradendron (พ่อหมายถึง "โจร" และ Dendron หมายถึง "ต้นไม้" ในภาษากรีก) ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพืชกาฝากมิสเซิลโทจะอยู่ในความเป็นจริงการกระทำเหมือนขโมยเพราะมัน "ขโมย" สารอาหารจากต้นไม้เจ้าภาพ แต่มันก็เป็นเพียง "ส่วนหนึ่ง" ปรสิตเพราะมีความสามารถในการสังเคราะห์อาหารของตัวเองและอยู่รอดเป็นอิสระ อย่างไรก็ตามมิสเซิลโทพบได้ทั่วไปบนต้นไม้และมันจะใช้สิ่งที่จำเป็นหมายเพื่อความอยู่รอด มันได้รับการรู้จักที่จะทนอากาศที่รุนแรงมากและแม้กระทั่งภัยแล้งโดยเข้าถึงลึกใต้เปลือกไม้ของเจ้าภาพในการระบายน้ำและแร่ธาตุ. น่าจะเนื่องจากความดื้อรั้นที่จะอยู่รอดมิสเซิลโทมาเล่นบทบาทสำคัญในประเพณีก่อนคริสเตียนจำนวนมาก :. Druidism ตำนานนอร์ดิกและตำนานกรีกโรมันเชื่อว่ามิสเซิลโทดรูอิดที่จะทำให้สัตว์หมันอุดมสมบูรณ์และจะทำหน้าที่เป็นยากับชนิดของสารพิษใด ๆ นักวิชาการบางคนเชื่อว่าการปฏิบัติของการจูบภายใต้มิสเซิลโทเกิดขึ้นกับความคิดที่ว่ามิสเซิลโทดรูอิดช่วย "นำออกมา" ชีวิตที่ผ่านสหภาพของเพศชายและหญิง. ในตำนานนอร์มิสเซิลโทมีบทบาทสำคัญในเรื่องของบอลเดอเทพเจ้าแห่ง แสง หลังจากบอลเดกลายเป็นทุกข์ด้วยความฝันว่าเขาจะตายแม่ของเขาสาบานสกัดจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินที่จะไม่เป็นอันตรายต่อลูกชายของเธอ แต่น่าเสียดายที่เธอมองข้ามสิ่งหนึ่งที่มิสเซิลโทเพราะเธอคิดว่ามันเป็นอันตราย การเรียนรู้การกำกับดูแลนี้พระเจ้าซนและขี้หึงชื่อโลกิชักชวนให้อีกคนหนึ่งของพระเจ้าที่จะโยนบอลเดมิสเซิลโทที่ผู้เสียชีวิตจากบาดแผล ความตายอันเป็นที่รักของบอลเดก็เสียใจทั่วโลก. เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจอยากรู้อยากเห็นการปฏิบัติในหมู่คนนอร์ดิกที่มิสเซิลโทจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตปกป้อง โดยทั่วไปเมื่อพบศัตรูภายใต้มิสเซิลโทพวกเขาถูกบังคับให้วางอาวุธของพวกเขาและโอบกอด บางทีในเกียรติของบอลเด, นอร์ดิกคนจะลังเลที่จะไม่มีความจำเป็นเป็นอันตรายต่อคนอื่น แท้จริงการตายของบอลเดอเป็นจุดหมายและส่งผลเพียงในความเศร้าโศก อ้อมกอดต่อไปจะเน้นความมุ่งมั่นของดีระหว่างศัตรูในการแสดงตนของมิสเซิลโท ประเพณีโบราณนี้อาจจะเป็นแหล่งที่มาอีกที่กำหนดเองที่ทันสมัยของการจูบเมื่อชายและหญิง (ศัตรูสาบานตลอดประวัติศาสตร์) ตอบสนองภายใต้มิสเซิลโท. พืชยังเล่นเป็นส่วนหนึ่งในกรีกโรมันตำนาน ในเนิดบทกวีมหากาพย์พระเอกอีเนียสปรารถนาที่จะขอคำปรึกษาจากพ่อผู้ล่วงลับของเขาในดินแดนแห่งความตาย โหราแนะนำให้อีเนียสว่าเขาจะต้องแสวงหา "กิ่งทอง (สาขา)" เพื่อที่จะกลับมาได้อย่างปลอดภัยจากดินแดนแห่งความตาย. นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า "กิ่งทอง" เป็นมิสเซิลโทในสาขาของต้นไม้ตั้งแต่มิสเซิลโทสามารถมี ลักษณะสีทองเหมือน ที่น่าสนใจตั้งแต่ยุคกลางเขียนเวอร์จิล (ผู้เขียนของเนิด) ได้มาถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์และคำทำนายเกี่ยวกับการได้หลายแง่มุมของศาสนาคริสต์ ไม่ว่าจะมีบุญที่จะเรียกร้องนี้หรือไม่ใด ๆ ภาพของสาขาทองอย่างแน่นอนเรียกในใจอ้างอิงพันธสัญญาเดิมหลายพระเจ้าว่า "สาขา." ตั้งแต่วัตถุประสงค์ของสาขาทองของเฝอคือการบันทึกอีเนียสจากแผ่นดิน ตายสะท้อนของพระเยซูจะเน้นต่อไปในใจของคริสเตียน. ที่น่าสนใจหลายแห่งประเพณีก่อนคริสเตียนรอบมิสเซิลโทและอำนาจของตนที่จะปกป้องชีวิตรอดจนเข้าสู่ยุคที่นับถือศาสนาคริสต์ มิสเซิลโทถูกแขวนอยู่เหนือประตูเป็นป้องกันจากแม่มดและปีศาจแขวนอยู่ในเปลที่จะปกป้องทารกจากนางฟ้าและเก็บไว้ในบ้านเป็นป้องกันจากการเกิดเพลิงไหม้ แท้จริงมิสเซิลโทไม่มีอำนาจที่จะให้ความคุ้มครองดังกล่าว แต่ปล่อยให้มันทำหน้าที่เป็นตัวเตือนของใครอย่างแท้จริงสามารถปกป้องชีวิตของเราและที่สำคัญกว่านั้นจิตวิญญาณของเรา - พระเยซูคริสต์อิสยาห์เป็นผู้หนึ่งที่เรียกว่า "สาขาที่สวยงามและมีชื่อเสียงของ พระเจ้า! "

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

มีความหลากหลายที่ดีของชนิดของต้นมิสเซิลโท ส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นป่าดิบและแบกผลไม้ของพวกเขา ( โดยทั่วไปจะสีแดงหรือสีขาว เบอร์รี่ ) ในช่วงเช้า เนื่องจากพืชไม่กี่ดังนั้นยังคงสีเขียวในฤดูหนาว มิสเซิลโทมาโดยธรรมชาติที่จะเชื่อมโยงกับเทศกาลคริสต์มาส .

ชื่อพืชสำหรับชนิดของ mistletoe คือ phoradendron ( ผอร์ความหมาย " ขโมย " และ dendron ความหมาย " ต้นไม้ " ในภาษากรีก ) เป็นพืชบางส่วนปรสิต มิสเซิลโท ในความเป็นจริงแล้ว ทำตัวเหมือนโจร เพราะมัน " ขโมย " สารอาหารจากต้นไม้ที่โฮสต์ แต่มันเป็นเพียง " บางส่วน " พยาธิ เพราะมันมีความสามารถในการสังเคราะห์แสงเป็นอาหารของตัวเอง มีชีวิตอิสระ อย่างไรก็ตามมิสเซิลโทโดยทั่วไปจะพบบนต้นไม้ และก็จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด มันได้ถูกรู้จักอดทนกับสภาพอากาศที่รุนแรงและมากแม้ภัยแล้ง โดยการเข้าถึงลึกอยู่ใต้เปลือกไม้ของโฮสต์เพื่อระบายน้ำและแร่ธาตุ .

อาจเนื่องจากความดื้อรั้นที่จะอยู่รอด มิสเซิลโทมาหามีบทบาทโดดเด่นในประเพณีคริสเตียนหลาย druidism ก่อน ,ในตำนานและตำนานเกรโกโรมัน

ดรูอิดเชื่อว่ามิสเซิลโทจะให้สัตว์แห้งแล้งอุดมสมบูรณ์และจะทำหน้าที่เป็นยาต่อต้านใด ๆชนิดของยาพิษ นักวิชาการบางคนเชื่อว่าการปฏิบัติภายใต้ Mistletoe ที่มากับความคิดที่ดรูอิด Mistletoe ช่วย " นำ " ชีวิตผ่านสหภาพของชายและหญิง

ในเทพนิยายนอร์ส ,มิสเซิลโทมีบทบาทในเรื่องของบาลเดอร์ เทพแห่งแสง หลังจาก Balder กลายเป็นทุกข์โดยความฝันที่เขาจะตาย แม่ของเขาสกัดคำสาบานจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและสิ่งบนโลกไม่ได้ทำร้ายลูกของเธอ แต่น่าเสียดายที่เธอมองข้ามสิ่งหนึ่ง มิสเซิลโท เพราะเธอคิดว่ามันไม่เป็นอันตราย การเรียนรู้ของโอเวอร์ไซท์นี้แสนซน และอิจฉาพระเจ้าชื่อโลกิชักชวนอีกหนึ่งของพระเจ้าที่จะโยน Mistletoe ที่บาลเดอร์ที่เสียชีวิตจากบาดแผล ที่รักก็ไว้ทุกข์การตายของบัลเดอร์ทั่วโลก

เรื่องราวนี้แรงบันดาลใจจากการปฏิบัติสงสัยในหมู่ประชาชนชาวยุโรปที่มิสเซิลโทจะเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องชีวิต โดยทั่วไป เมื่อศัตรูเจอใต้มิสเซิลโทพวกเขามีหน้าที่ที่จะปล่อยอาวุธของพวกเขาและโอบกอด บางทีในเกียรติของบาลเดอร์ ประชาชนชาวยุโรปจะลังเลที่จะต้องการทำร้ายกันและกัน แน่นอนว่า บาลเดอร์ตายไร้จุดหมายและผลเท่านั้น ความทุกข์ โอบกอด จะเน้นความผูกพันที่ดีระหว่างศัตรูต่อหน้ามิสเซิลโทประเพณีโบราณนี้อาจเป็นแหล่งอื่นสำหรับเองสมัยเมื่อผู้ชายและผู้หญิงจูบกัน ( สาบานศัตรูตลอดประวัติศาสตร์ ) เจอกันใต้ต้นมิสเซิลโท

โรงงานยังเล่นเป็นส่วนหนึ่งในตำนานเกรโกโรมัน ในบทกวีมหากาพย์แอเนียด , พระเอกเนียสปรารถนาที่จะขอคำปรึกษาจากพ่อผู้ล่วงลับของเขาในที่ดินของคนตายเป็นหญิงที่เขาต้องการให้อีเนียส " ทองกิ่ง ( สาขา ) " เพื่อที่จะกลับมาอย่างปลอดภัยจากดินแดนแห่งความตาย

นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า " ซื้อทอง " คือมิสเซิลโทในสาขาของต้นไม้ เพราะต้นมิสเซิลโทสามารถมีสีทองเหมือนหน้าตา ทั้งนี้ ตั้งแต่ยุคกลางเวอร์จิลเขียน ( ผู้เขียนของแอเนียด ) จึงถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์และพยากรณ์เกี่ยวกับหลาย ๆด้านของศาสนาคริสต์ ว่ามีความดีที่จะเรียกร้องนี้หรือไม่ ภาพลักษณ์ของสาขาโกลเด้นแน่นอนเรียกจิตหลายพันธสัญญาเดิมอ้างอิงพระเจ้าเป็น " สาขา " เนื่องจากวัตถุประสงค์ของเวอร์จิล สาขาโกลเด้นถูกบันทึกอีเนียสจากที่ดินของคนตายภาพสะท้อนของพระเยซูคือเพิ่มเติมโดยคริสเตียนจิตใจ

น่าสนใจหลายแห่งก่อนคริสเตียนประเพณีรอบต้นมิสเซิลโทและพลังของมันเพื่อปกป้องอยู่รอดเป็นคริสต์ศักราช มิสเซิลโทแขวนเหนือประตู เป็น ป้องกัน จากแม่มดและปีศาจ แขวนไว้ในเปลเด็กเพื่อปกป้องทารกจากนางฟ้า และเก็บไว้ในบ้าน เช่น การป้องกันจากไฟไหม้ แน่นอนมิสเซิลโทไม่มีอำนาจให้ความคุ้มครองดังกล่าว แต่ปล่อยให้มันทำหน้าที่เป็นตัวเตือนของคนอย่างแท้จริง สามารถปกป้องชีวิตของเรา และที่สำคัญ จิตวิญญาณของเราและพระเยซูคริสต์เป็นผู้หนึ่งที่อิสยาห์เรียกว่า " สวยและยิ่งใหญ่ของสาขาของพระเจ้า ! "