There is a lack of clarity on the o

There is a lack of clarity on the origins of cocktails.[5] Traditionally cocktails were a mixture of spirits, sugar, water, and bitters.[6] But by the 1860s, a cocktail frequently included a liqueur.[7][8]

The first publication of a bartenders' guide which included cocktail recipes was in 1862 — How to Mix Drinks; or, The Bon Vivant's Companion, by "Professor" Jerry Thomas. In addition to listings of recipes for punches, sours, slings, cobblers, shrubs, toddies, flips, and a variety of other types of mixed drinks were 10 recipes for drinks referred to as "cocktails". A key ingredient which differentiated cocktails from other drinks in this compendium was the use of bitters as an ingredient. Mixed drinks popular today that conform to this original meaning of "cocktail" include the Old Fashioned whiskey cocktail, the Sazerac cocktail, and the Manhattan cocktail.


Flaming cocktails
The ingredients listed (spirits, sugar, water, and bitters) match the ingredients of an Old Fashioned,[9] which originated as a term used by late 19th century bar patrons to distinguish cocktails made the “old-fashioned” way from newer, more complex cocktails.[10]

The term highball appears during the 1890s to distinguish a drink composed only of a distilled spirit and a mixer.[11]

The first "cocktail party" ever thrown was allegedly by Mrs. Julius S. Walsh Jr. of St. Louis, Missouri, in May 1917. Mrs. Walsh invited 50 guests to her home at noon on a Sunday. The party lasted an hour, until lunch was served at 1 pm. The site of this first cocktail party still stands. In 1924, the Roman Catholic Archdiocese of St. Louis bought the Walsh mansion at 4510 Lindell Boulevard, and it has served as the local archbishop's residence ever since.[12]

During Prohibition in the United States (1919–1933), when alcoholic beverages were illegal, cocktails were still consumed illegally in establishments known as speakeasies. The quality of liquor available during Prohibition was much worse than previously.[13] There was a shift from whiskey to gin, which does not require aging and is therefore easier to produce illicitly.[14] Honey, fruit juices, and other flavorings served to mask the foul taste of the inferior liquors. Sweet cocktails were easier to drink quickly, an important consideration when the establishment might be raided at any moment.

Cocktails became less popular in the late 1960s and through the 1970s, until resurging in the 1980s with vodka often substituting the original gin in drinks such as the martini. Traditional cocktails began to make a comeback in the 2000s[15] and by the mid-2000s there was a renaissance of cocktail culture in a style typically referred to as mixology that draws on traditional cocktails for inspiration but utilizes novel ingredients and often complex flavors.[16]

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

มีการขาดความชัดเจนเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเครื่องดื่มค็อกเทลเป็น. [5] ตามเนื้อผ้าค๊อกเทลเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, น้ำตาล, น้ำและขม. [6] แต่ด้วยยุค 1860, ค๊อกเทลที่พบบ่อยรวมเหล้า. [7] [8 ] ตีพิมพ์ครั้งแรกของคำแนะนำจากพนักงาน 'ซึ่งรวมถึงค็อกเทลสูตรคือในปี 1862 - วิธีการผสมเครื่องดื่ม; หรือ Companion Bon Vivant ของด้วย "ศาสตราจารย์" เจอร์รี่โทมัส นอกเหนือจากรายชื่อของสูตรสำหรับหมัด Sours สลิง, สาระพุ่มไม้ toddies พลิกและความหลากหลายของประเภทอื่น ๆ ของเครื่องดื่มผสมมี 10 สูตรสำหรับเครื่องดื่มเรียกว่า "ค็อกเทล" ส่วนประกอบสำคัญที่แตกต่างจากเครื่องดื่มค็อกเทลเครื่องดื่มอื่น ๆ ในบทสรุปนี้คือการใช้ยาขมเป็นส่วนผสม เครื่องดื่มผสมที่นิยมในวันนี้ว่าเป็นไปตามนี้ความหมายดั้งเดิมของ "ค๊อกเทล" รวมเครื่องดื่มค็อกเทลวิสกี้เก่า fashioned, ค๊อกเทล Sazerac และค๊อกเทลแมนฮัตตัน. Flaming ค็อกเทลส่วนผสมจดทะเบียน (สุรา, น้ำตาล, น้ำและขม) ตรงกับส่วนผสมของ Old Fashioned, [9] ซึ่งมาเป็นคำที่ใช้ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ลูกค้าจะแยกแยะบาร์ค็อกเทลทำ "ล้าสมัย" วิธีใหม่จากค็อกเทลที่ซับซ้อนมากขึ้น. [10] สูงระยะปรากฏขึ้นในช่วงยุค 1890 ที่จะแยกแยะเครื่องดื่ม ประกอบด้วยเฉพาะของจิตวิญญาณและการกลั่นผสม. [11] ครั้งแรก "ค๊อกเทลปาร์ตี้" ที่เคยถูกกล่าวหาว่าโยนโดยนางจูเลียสเอสวอลช์จูเนียร์ของเซนต์หลุยส์ในเดือนพฤษภาคม 1917 นางวอลช์ได้รับเชิญ 50 ผู้เข้าพักได้ บ้านของเธอในเวลาเที่ยงวันในวันอาทิตย์ บุคคลที่กินเวลาชั่วโมงจนกระทั่งถูกเสิร์ฟอาหารกลางวันที่ 13:00 เป็นที่ตั้งของงานเลี้ยงค็อกเทลแรกนี้ยังคงยืนอยู่ ในปี 1924, นิกายโรมันคาทอลิคเซนต์หลุยส์ซื้อคฤหาสน์วอลช์ที่ 4510 เดลล์ Boulevard และมันได้ทำหน้าที่เป็นที่อยู่อาศัยของอาร์คบิชอปท้องถิ่นนับตั้งแต่. [12] ในระหว่างการห้ามในสหรัฐอเมริกา (1919-1933) เมื่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถูกที่ผิดกฎหมาย, ค๊อกเทลได้รับการบริโภคยังคงผิดกฎหมายในสถานประกอบการที่รู้จักกันในตลาดมืด คุณภาพของสุราที่มีอยู่ในระหว่างการห้ามเป็นมากยิ่งกว่าก่อนหน้านี้. [13] มีการเปลี่ยนแปลงจากวิสกี้จะเป็นจินซึ่งไม่จำเป็นต้องมีริ้วรอยและดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายต่อการผลิตอย่างผิดกฏหมาย. [14] ฮันนี่, น้ำผลไม้และรสอื่น ๆ ที่ทำหน้าที่ หน้ากากรสชาติเหม็นของสุราที่ด้อยกว่า เครื่องดื่มค็อกเทลหวานได้ง่ายที่จะดื่มได้อย่างรวดเร็ว, การพิจารณาที่สำคัญเมื่อสถานประกอบการอาจจะมีการบุกเข้าไปในช่วงเวลาใด. ค๊อกเทลกลายเป็นที่นิยมน้อยลงในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 และ 1970 ผ่านจนกว่า resurging ในช่วงปี 1980 กับวอดก้ามักจะทำหน้าที่แทนจินเดิมในเครื่องดื่มเช่น มาร์ตินี่ เครื่องดื่มค็อกเทลแบบดั้งเดิมเริ่มที่จะกลับมาในยุค 2000 [15] และในช่วงกลางทศวรรษที่ 2000 มีการฟื้นฟูวัฒนธรรมค็อกเทลในสไตล์มักจะเรียกว่าการผสมผสานเครื่องดื่มที่สามารถดึงค็อกเทลแบบดั้งเดิมสำหรับแรงบันดาลใจ แต่ใช้ส่วนผสมที่แปลกใหม่และมักจะรสชาติที่ซับซ้อน [16]

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

มีการขาดความชัดเจนเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเครื่องดื่มค็อกเทล เครื่องดื่มค็อกเทล [ 5 ] ซึ่งเป็นส่วนผสมของเหล้า ขมน้ำตาล , น้ำ , และ [ 6 ] แต่โดย 1860s , ค็อกเทลบ่อยรวมเหล้า [ 7 ] [ 8 ]

ตีพิมพ์ครั้งแรกของบาร์เทนเดอร์แนะนำซึ่งรวมถึงค็อกเทล สูตรใน 1862 - วิธีการผสมเครื่องดื่ม ; หรือ บองวีวองเป็นคู่หู โดย " ศาสตราจารย์ " Jerry โทมัสนอกจากรายการของสูตรสำหรับเจาะ , น้ำกระเจี๊ยบ , สลิง , ไร้สาระ , พุ่มไม้ , toddies , flips และความหลากหลายของประเภทอื่น ๆของเครื่องดื่มผสมจำนวน 10 สูตรสำหรับเครื่องดื่มที่เรียกว่า " ค็อกเทล " ส่วนประกอบเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากเครื่องดื่มค็อกเทลอื่น ๆในบทสรุปนี้ใช้ยาขมเป็นส่วนผสมการผสมเครื่องดื่มที่นิยมวันนี้ที่สอดคล้องกับความหมายเดิมของ " ค็อกเทล " รวมถึงเก่า fashioned วิสกี้ค็อกเทล , ค็อกเทลขอ " แซสเซอแรค " และเครื่องดื่มค็อกเทลแมนฮัตตัน



เผาค็อกเทลส่วนผสมที่ระบุไว้ ( สุรา , น้ำตาล , น้ำ , และขม ) ตรงกับส่วนผสมของเก่าแบบ[ 9 ] ซึ่งมาเป็นคำที่ใช้โดยสายศตวรรษที่ 19 บาร์ค็อกเทลให้ลูกค้าแยกแยะ " เชย " วิธีจากที่ใหม่กว่า ค็อกเทลที่ซับซ้อนมากขึ้น [ 10 ]

เทอมไฮบอลปรากฏในช่วงยุค 1890 เพื่อแยกน้ำประกอบด้วยเฉพาะของวิญญาณกลั่นและผสม [ 11 ]

ครั้งแรก " ค็อกเทล ปาร์ตี้ " ที่เคยถูกถูกกล่าวหาว่าคุณจูเลียส เอส วอลช์ จูเนียร์ ในเซนต์หลุยส์ , มิสซูรี ,ในเดือนพฤษภาคม 1917 . คุณนายวอลช์เชิญ 50 แขกที่บ้านเธอตอนเที่ยงวันอาทิตย์ พรรคกินเวลาเป็นชั่วโมง จนกระทั่งอาหารถูกเสิร์ฟ เวลาบ่ายโมงตรง เว็บไซต์ของค็อกเทลปาร์ตี้ครั้งแรกนี้ก็ยังอยู่ ในปี 1924 , โรมันคาทอลิกอัครสังฆมณฑลของเซนต์ หลุยส์ วอลช์ ซื้อคฤหาสน์ที่ 4781 lindell Boulevard , และมันยังทำหน้าที่เป็นพระสังฆราชท้องถิ่นที่อยู่อาศัยตั้งแต่ [ 12 ]

ในระหว่างการห้ามในสหรัฐอเมริกา ( ค.ศ. 1919 – 1933 ) เมื่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผิดกฎหมาย ค็อกเทล ยังบริโภคอย่างผิดกฎหมายในสถานประกอบการที่รู้จักกันเป็นร้านเหล้าเถื่อน . คุณภาพของเหล้าที่มีอยู่ในระหว่างการห้ามก็แย่กว่าเดิม [ 13 ] มีการเปลี่ยนแปลงจากวิสกี้ Gin ซึ่งไม่ต้องอายุและดังนั้นจึงง่ายต่อการผลิต illicitly [ 14 ] น้ำผึ้ง , น้ําผลไม้และรสอื่น ๆบริการรูปแบบรสชาติเหม็นของสุราด้อยกว่า ค็อกเทลหวานดื่มง่ายกว่าอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญการพิจารณาเมื่อการก่อตั้งอาจจะบุกเข้าไปในขณะใด ๆ .

ค็อกเทลกลายได้รับความนิยมน้อยลงในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 และ 1970 resurging ผ่าน จนในช่วงทศวรรษ 1980 กับวอดก้ามักจะแทนจินเดิมในเครื่องดื่มเช่น มาร์ตินี่ค็อกเทลแบบดั้งเดิมเริ่มที่จะกลับมาในยุค 2000 [ 15 ] และโดย mid-2000s มีการฟื้นฟูวัฒนธรรมค็อกเทลในสไตล์มักจะเรียกว่าการผสมผสานเครื่องดื่มค๊อกเทลแบบดั้งเดิมที่วาดแรงบันดาลใจ แต่ใช้วัสดุที่แปลกใหม่และรสชาติมักจะซับซ้อน [ 16 ]