This paper describes a case study o

This paper describes a case study on the chemistry behind natural cosmetics in five chemistry learning groups (grades 7–11, age range 13–17) in a German comprehensive school. The lesson plan intends to promote critical media literacy in the chemistry classroom and specifically emphasizes learning with and about advertising. The lessons of four lesson periods encompass several strategies for evaluating and creating advertising. Evaluation was carried out using a questionnaire with both open-ended and Likert-type questions. Classroom observation protocols were also analyzed. The lesson plan proved to be very motivating and it initiated intense discussion about chemistry and science-related information in advertising. The findings of this study indicate that the lessons triggered self-reflection on students' consumer behavior. Most of the younger pupils saw advertising as a suitable and important topic for the science classroom. More advanced students tended to regard such issues as an interesting, but in some cases an unnecessary, part of their science education. Findings from the different groups are compared. Future research directions are also considered.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เอกสารนี้อธิบายกรณีศึกษาในวิชาเคมีหลังเครื่องสำอางธรรมชาติในกลุ่มเรียนรู้เคมี 5 (เกรด 7 – 11 ช่วงอายุ 13-17) ในโรงเรียนครอบคลุมภาษาเยอรมัน แผนการเรียนมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมสามารถสื่อที่สำคัญในห้องเรียนเคมี และโดยเฉพาะเน้นเรียนรู้ด้วย และโฆษณา บทเรียน 4 บทเรียนรอบรอบหลายกลยุทธ์สำหรับการประเมิน และการสร้างโฆษณา ประเมินผลได้ดำเนินการใช้แบบสอบถามทั้งปลายเปิด และคำถามแบบ Likert นอกจากนี้ยังได้วิเคราะห์โพรโทคอลการสังเกตห้องเรียน แผนการเรียนพิสูจน์ให้จูงใจมาก และเริ่มต้นการสนทนาที่รุนแรงเกี่ยวกับเคมีและวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลในโฆษณา ผลการวิจัยของการศึกษานี้บ่งชี้ว่า บทเรียนที่ทริกเกอร์การมองพฤติกรรมผู้บริโภคของนักเรียน ส่วนใหญ่เมื่ออายุน้อยกว่าเห็นโฆษณาตามหัวข้อที่สำคัญ และเหมาะสมสำหรับห้องเรียนวิทยาศาสตร์ เพิ่มเติมขั้นสูงมีแนวโน้มนำพาปัญหาดังกล่าว เป็นน่าสนใจ แต่ ในบางกรณีนักศึกษาภาคการศึกษาวิทยาศาสตร์ที่ไม่จำเป็น ผลการวิจัยจากกลุ่มต่าง ๆ มีการเปรียบเทียบ ได้มีพิจารณาทิศทางการวิจัยในอนาคต

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

กระดาษนี้จะอธิบายกรณีศึกษาเกี่ยวกับสารเคมีที่อยู่เบื้องหลังเครื่องสำอางธรรมชาติในห้ากลุ่มการเรียนรู้วิชาเคมี (เกรด 7-11 ช่วงอายุ 13-17) ในโรงเรียนที่ครอบคลุมเยอรมัน แผนการสอนมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อที่สำคัญในห้องเรียนเคมีและโดยเฉพาะเน้นการเรียนรู้ด้วยและเกี่ยวกับการโฆษณา บทเรียนจากระยะเวลาสี่บทเรียนครอบคลุมหลายกลยุทธ์สำหรับการประเมินและการสร้างโฆษณา การประเมินผลการดำเนินการโดยใช้แบบสอบถามที่มีทั้งที่เปิดกว้างและคำถาม Likert ชนิด โปรโตคอลการสังเกตในชั้นเรียนนอกจากนี้ยังถูกนำมาวิเคราะห์ แผนการสอนพิสูจน์ให้เห็นว่าการสร้างแรงจูงใจมากและเริ่มต้นการสนทนาเกี่ยวกับเคมีที่รุนแรงและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในการโฆษณา ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าบทเรียนที่เรียกตัวเองสะท้อนต่อพฤติกรรมผู้บริโภคของนักเรียน ส่วนใหญ่ของนักเรียนที่อายุน้อยกว่าเห็นโฆษณาเป็นหัวข้อที่เหมาะสมและมีความสำคัญสำหรับห้องเรียนวิทยาศาสตร์ นักเรียนที่สูงขึ้นมีแนวโน้มที่จะมองว่าประเด็นดังกล่าวเป็นที่น่าสนใจ แต่ในบางกรณีที่ไม่จำเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิทยาศาสตร์ของพวกเขา ผลการวิจัยจากกลุ่มต่าง ๆ จะเปรียบเทียบ ทิศทางการวิจัยในอนาคตนอกจากนี้ยังได้รับการพิจารณา

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

กระดาษนี้จะอธิบายกรณีศึกษาเคมีหลังเครื่องสำอางธรรมชาติในการเรียนรู้เคมีกลุ่ม 5 ( เกรด 7 – 11 อายุ 13 – 17 ) ในเยอรมันที่ครอบคลุมโรงเรียน แผนการสอนที่เน้นส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อที่สำคัญในวิชาเคมีในชั้นเรียนและโดยเฉพาะเน้นการเรียนรู้เกี่ยวกับการโฆษณาบทเรียนที่ 4 บทเรียนช่วงครอบคลุมหลายกลยุทธ์สำหรับการประเมินและการสร้างโฆษณา ประเมินผลโดยใช้แบบสอบถามที่มีทั้งปลายเปิดและคนประเภทคำถาม โปรโตคอลการสังเกตในห้องเรียน ยังวิเคราะห์ แผนการพิสูจน์ให้เป็นมาก motivating และเริ่มการอภิปรายที่รุนแรงเกี่ยวกับเคมีและวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลในโฆษณาผลจากการศึกษาพบว่า บทเรียนที่ทำให้การสะท้อนตนเองต่อพฤติกรรมของนักศึกษา ส่วนใหญ่ของนักเรียนน้อง เห็นโฆษณาที่เหมาะสม และที่สำคัญเรื่องวิทยาศาสตร์ในชั้นเรียน นักเรียนขั้นสูงมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะพิจารณาประเด็นดังกล่าวเป็นที่น่าสนใจ แต่ในบางกรณีที่ไม่จําเป็น ส่วนหนึ่งของการศึกษาวิทยาศาสตร์ของพวกเขาผลการวิจัยจากกลุ่มเปรียบเทียบ ทิศทางการวิจัยในอนาคตจะยังถือว่า