ความสมดุลของภาพ
การจัดองค์ประกอบภาพด้วยการจัดความสมดุลให้กับวัตถุหรือสิ่งต่าง ๆ ในภาพโดยอาศัยการรับรู้ถึง “น้ำหนัก” และตำแหน่งของวัตถุต่าง ๆ ที่อยู่ภายในภาพนั้น ๆ โดยอาศัยหลักการ คานดีด – คานงัด โดยมีตำแหน่งกึ่งกลางภาพเป็นจุดศูนย์กลางของตัวคานน้ำหนัก
โดยให้ท่านจินตนาการดูว่าคานอันหนึ่งวางพาดอยู่กลางภาพ โดยมีจุดหมุนอยู่กึ่งกลางของตัวคาน วางวัตถุลงบนตัวคานทั้ง 2 ด้าน หลักการคือ การพยายามจัดองค์ประกอบ (วัตถุ) ลงในภาพโดยให้มีความรู้สึกถึงความสมดุลของคานทั้ง 2 ฝั่ง
การรับรู้น้ำหนักของวัตถุจากคนดู ขณะดูภาพ
วัตถุขนาดใหญ่จะมีน้ำหนักในภาพมากกว่าวัตถุที่มีขนาดเล็ก แต่ถ้าวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าหากวางในจุดที่อยู่ห่างออกไปจากจุดกึ่งกลางของคานในตำแหน่งที่เหมาะสมก็ดูมีพลังและน้ำหนักได้มากยิ่งขึ้นกว่าปกติเพื่อนำถ่วงดุลกับวัตถุที่ที่มีขนาดใหญ่กว่าที่อยู่ด้านหนึ่งของคานได้
การรับรู้ถึงน้ำหนักมาก
1) วัตถุมีขนาดใหญ่
2) วัตถุมีสีเข้ม
3) ตำแหน่งของวัตถุอยู่ห่างจากจุดกึ่งกลางภาพ
การรับรู้ถึงน้ำหนักน้อย
1) วัตถุมีขนาดเล็ก (หรือเป็นที่ว่างในภาพ)
2) วัตถุมีสีอ่อน
3) อยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของภาพ
ดังนั้นในการจัดองค์ประกอบของภาพนั้น นอกจากจะต้องคำนึกถึงกฎสามส่วนแล้วควรจะนึกภาพตาช่างเสมือนไว้ในใจเสมอ โดยพยายามวางวัตถุต่าง ๆ เพื่อให้มีการถ่วงดุลไม่จำเป็นต้องเอาวัตถุใหญ่ ๆ 2 อันมาวางไว้ทั้ง 2 ด้านของคานเพื่อให้น้ำหนักหรือสมดุลของภาพเท่ากัน แต่เป็นเรื่องของความเหมาะเจาะพอดีของ (ขนาดวัตถุ / สีสัน / โทนความเข้มอ่อนของวัตถุ) ก็ได้
องค์ประกอบการออกแบบ (Elements)
1. องค์ประกอบในความคิด (Conceptual Elements)
องค์ประกอบในความนึกคิดไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่มีตัวตน แต่ดูเหมือนจะคงอยู่โดยทั่วไป เช่น เรารู้สึกว่ามีจุดอยู่ตรงมุมของรูปร่าง มีเส้นอยู่บริเวณรูปร่างของวัตถุมีระนาบหุ้มห่อปริมาตร และปริมาตรครอบคลุมพื้นที่ว่าง แต่ว่าความจริงแล้ว องค์ประกอบเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่บริเวณดังกล่าวอย่างแท้จริง เราเรียกลักษณะขององค์ประกอบทั้งหมดนี้ว่า “องค์ประกอบในความนึกคิด”
2. องค์ประกอบที่มองเห็นได้ (Visual Elements)
องค์ประกอบที่มองเห็นได้ () จะเป็นตัวแทนขององค์ประกอบในความนึกคิด () โดยเมื่อเราเขียนจุด เส้น ระนาบ หรือปริมาตรลงบนกระดาษ เราจะไม่เพียงแต่มองเห็นความกว้างยาวเท่านั้น แต่จะเห็นถึงสีและพื้นผิว ซึ่งขึ้นอยู่กับวัสดุที่เราใช้และวิธีใช้ เมื่อองค์ประกอบในความนึกคิดเปลี่ยนเป็นมองเห็นได้จะแสดงให้เห็นถึงรูปร่าง ขนาด สี ผิวสัมผัส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ
3. องค์ประกอบที่สัมพันธ์ (Relational Elements)
องค์ประกอบตั้งแต่หนึ่งองค์ประกอบขึ้นไป จำเป็นจะต้องควบคุมการจัดวางโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบนี้ทิศทางและตำแหน่งการจัดวางสามารถรับรู้ได้ บางประเภทต้องอาศัยความรู้สึกจากการวิเคราะห์ โดยเฉพาะเรื่องของที่ว่างและแรงดึงดูด
4. องค์ประกอบที่นำมาใช้ประโยชน์ (Practical Elements)
4.1 งานที่เหมือนจริง (Representation) เมื่อรูปร่างในงานศิลปะได้ถ่ายทอดมาจากธรรมชาติหรือโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น เราจะเรียกงานนั้นว่างามที่เหมือนจริง (Representation) เมื่อรูปร่างในงานศิลปะได้ถ่ายทอดมาจากธรรมชาติหรืโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น เราจะเรียกงานนั้นว่างานี่เหมือนจริง (Representation) ซึ่งอาจจะดูเหมือนจริงจนใกล้จะเป็นงานนามธรรม
4.2 ความหมาย (Meaning) ความหมายของงานศิลปะแต่ละขั้นจะแสดงออกเพื่อสื่อสารสามารถแนวคิดในการออกแบบ
4.3 ประโยชน์ใช้สอย (Function) ประโยชน์ใช้สอยในการออกแบบจะแสดงออกเมื่องานออกแบบนั้นสนองความต้องการทางด้านการใช้สอยของมนุษย์
รูปแบบของทัศนศิลป์สากล
ทัศนศิลป์สากลเกิดจากการจัดภาพแบบสากลที่ได้ผสมผสานรูปแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่านการทดลองปรับปรุง ดัดแปลง เลือกสรรจนวิวัฒนาการรูปแบบเป็นที่นิยมทั่วทุกชาติโดยแบ่งรูปแบบออกตามลักษณะของงานที่สร้างสรรค์ได้ 3 รูปแบบ คือ
• รูปแบบรูปธรรม (Realistic) ศิลปะแบบเหมือนจริงเป็นศิลปะที่ไม่ซับซ้อนมีเนื้อหาสาระที่ปรากฏเด่นชัดแต่ผู้สร้างและผู้ชมต้องมีความรู้เรื่องนั้นด้วย เช่น ภาพคน ภาพสัตว์
• รูปแบบกึ่งนามธรรม (Semi Abstract) เป็นการถ่ายทอดที่ผิดเบนไปจากรูปธรรมหรือแบบเหมือนจริงด้วยการตัดทอนรูปทรงจากของจริงให้เรียบง่ายแต่ยังมีเค้าโครงเดิมอยู่สามารถดูรู้ว่าเป็นภาพอะไร
• รูปแบบนามธรรม (Abstract Art) เป็นศิลปะประเภทที่ไม่มีความจริงเหลืออยู่ เพราะถูกตัดทอนให้เหลือแค่เส้น สี น้ำหนัก ที่ก่อให้เกิดความงามตามอารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เหนือความเป็นจริงต้องใช้จินตนาการในการรับรู้รับชม
คุณค่าของงานทัศนศิลป์
ทัศนศิลป์เป็นศิลปะที่รับรู้ได้ด้วยสายตา การรับรู้ทางการมองเห็นในแขนงจิตรกรรมประติมากรรมและสถาปัตยกรรม ทำให้เกิดแรงกระตุ้นและตอบสนองทางด้านจิตใจพร้อมกันนั้นจิตใจของมนุษย์ก็เป็นตัวแปรค่าและกำหนดความงาม ความประณีต เรื่องราวและประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์ การรับรู้คุณค่าของสิ่งเหล่านี้ รับรู้ได้ด้วยอารมณ์ ความรู้สึกของแต่ละบุคคล ความงามและเรื่องราวจะเกิดมีคุณค่าก็เพราะการรับรู้ทางการมองเห็นเกิดความรู้สึกประทับใจ มีความอิ่มเอิบใจในคุณค่านั้น ๆ สำหรับงานทัศนศิลป์ไม่ว่ารูปแบบใดย่อมมีคุณค่าในตัวของผลงานเอง ผลงานทัศนศิลป์สามารถแบ่งการรับรู้คุณค่าได้ 14 คุณค่า คือ
1. คุณค่าทางความงาม (Aesthetic Value)
เป็นการรวบรวมในเรื่องของความประณีต ความละเอียด มีระเบียบ น่าทึ่ง มโหฬารประหลาด แปลกหูแปลกตา และเป็นสิ่งที่มีคุณงามความดี ทำให้ผู้เห็นเกิดความประทับใจไปอีกนานสิ่งเหล่านี้รวมเรียกว่าคุณค่าทางความงาม โดยเกณฑ์ของความงามที่อยู่ในงามทัศนศิลป์ ซึ่งสามารถรับรู้และยอมรับได้โดยทั่วไป เป็นการประสานกันของส่วนประกอบต่าง ๆ ของความงาม เช่น จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง สี แสงเงา พื้นผิว ความกลมกลืน และการจัดภาพ เป็นต้น โดยผู้สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์จะแสดงออกตามความรู้สึกในแต่ละเหตุการณ์แต่ละสังคม เพราะความงามของแต่ละสังคมย่อมมีความแตกต่างขึ้นอยู่ก