ลักษณะ
อัลปาก้าเป็นสัตว์ที่ไม่มีฟันหน้า มีความสูงเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 180 เซนติเมตร ลักษณะคล้ายยามา แต่จะแตกต่างกันตรงที่อัลปาก้าไม่ได้ถูกเลี้ยงไว้ใช้ขนสัมภาระ แต่จะถูกเลี้ยงเพื่อนำขนมาทำเป็นเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม ขนอัลปากานำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ตั้งแต่ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว หมวก ถุงมือ ผ้าพันคอ และเครื่องนุ่งห่มประเภทต่าง ๆ โดยขนของอัลปากาตามธรรมชาติมีหลายสี โดยในเปรูมีการจำแนกสีขนออกเป็น 52 สี ขณะที่ทางออสเตรเลียจำแนกไว้ 12 สี และสหรัฐอเมริกาจำแนกเป็น 16 สี[3]
ขนอัลปากาได้ชื่อว่าเป็นขนสัตว์ที่นุ่มที่สุดในโลกจนได้รับการขนามนามว่า "เส้นใยจากพระเจ้า" ขนของอัลปากาเมื่อตัดแล้วจะมีราคาขายสูงถึงกิโลกรัมละ 30,000 บาท[4]
พฤติกรรม
อัลปากามีเสียงร้องหลายเสียง มักร้องเสียงแหลมสูงเมื่อตกอยู่ในภัยอันตราย หมาหรือแมวที่แปลกหน้าอาจทำให้อัลปากานึกว่าตนตกอยู่ในภัยอันตรายได้ มักทำเสียงดูดเพดานอ่อนหรืออาจทำเสียงในโพรงจมูกเมื่อแสดงความเป็นมิตร
อัลปากามักฮัมเป็นเพลงสั้น ๆ เมื่ออยากแสดงให้อัลปากาตัวอื่นรู้ว่าตนอยู่ใกล้หรือกำลังมีความสุข โดยมีเสียงฮัมที่แตกต่างกันไปในแต่ละตัว
มักร้องสูงเหมือนนกเมื่อตัวผู้ต่อสู้กัน ซึ่งอาจเป็นเสียงที่ทำให้ศัตรูหวาดกลัว อัลปากาจะรู้สึกว่าเป็นอันตรายหรือถูกคุกคามเมื่อถูกสัมผัสที่ช่วงก้น และจะป้องกันตัวด้วยการพ่นน้ำลายออกมาเหมือนอูฐ[4]
สัตว์เลี้ยง
ปัจจุบัน มีการนิยมเลี้ยงอัลปากากันหลากหลายมากขึ้นในฐานะของปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง เนื่องจากเป็นสัตว์ที่เชื่องต่อผู้เลี้ยง ผู้ที่มีชื่อเสียงที่เลี้ยงอัลปากาไว้ในฐานะสัตว์เลี้ยง คือ นิโคล คิดแมน นักแสดงฮอลลีวู้ด มีราคาซื้อขายกันสูงถึงตัวละหลักแสนหรือล้านบาท อัลปากาสามารถเลี้ยงไว้ในบ้านได้เหมือนกับสุนัขโกลเดินริทรีฟเวอร์ตัวหนึ่ง ให้อาหารด้วยหญ้าและเสริมด้วยอาหารเม็ด อัลปากาเป็นสัตว์ที่รักสะอาด ขับถ่ายอย่างเป็นที่เป็นทางในพื้นทรายที่เตรียมไว้ให้ และเป็นสัตว์ที่ไม่มีกลิ่นเหม็นแม้ไม่ได้อาบน้ำ อัลปากาจะอาบน้ำต่อเมื่อถูกส่งเข้าประกวด ซึ่งต้องใช้เวลาเป่าขนนานถึง 4 ชั่วโมงให้แห้งต่อตัว
ในประเทศไทย มีฟาร์มเลี้ยงอัลปากาที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี บนพื้นที่กว่า 250 ไร่ [4]
ตั้งแต่ครั้งอดีต เทือกเขาแอนเดสในอเมริกาใต้นั้นเป็นบ้านของอัลปาก้า ชาวอินคานิยมนำขนของพวกมันมาใช้งาน (เรียกกันว่า "เส้นใยจากพระเจ้า" และฝูงอัลปาก้าอาศัยอยู่กระจัดกระจายในบริเวณเชิงเขาและทุ่งหญ้า ในศตวรรษที่ 17 ผู้บุกรุกชาวสเปนเข่นฆ่าชาวอินคาและอัลปาก้าจำนวนมาก ทำให้ตัวที่เหลืออยู่รอดหลบหนีไปอยู่ในภูเขาสูงที่เรียกกันว่า อัลติพลาโน เนื่องจากความสูงและภูมิประเทศ ทำให้ตัวที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้นที่อยู่รอด และพวกเขาได้กลายมาเป็นบรรพบุรุษของสายพันธู์ที่ดีที่สุด ซึ่งมีความทนทาน และให้เส้นใยที่มีความหนาแน่นและมีคุณภาพสูง