เรื่องที่ยากที่สุดของข้าพเจ้าที่ผ่านมาก็คือ การวางตัวเป็นคนกลาง ประนีประนอม ปัญหาของห้อง ระหว่างนักเรียนกับครูสอนสังคม เรื่องมีอยู่ว่า ครูสอนสังคมตอนมัธยมปีที่ ๕ ของข้าพเจ้า ชอบว่านักเรียน ด้วยคำพูดหยาบคาย ข้าพเจ้าเคยโดนครั้งหนึ่งในวันเปิดเทอม ครูประจำชั้น ให้ไปถามครู คนดังกล่าวว่าเอากาแฟมั้ย ข้าพเจ้าไปที่ห้องของครูสังคม ซึ่งขณะนั้น กำลังคุยกับ ลูกศิษย์อีกคน ข้าพเจ้ายืนรออยู่ห่างๆ จนครูคุยธุระเสร็จ จึงเดินเข้าไป นั่งกับพื้น แล้วถามว่า ครูประจำชั้น ให้มาถามว่า จะรับกาแฟมั้ย ครูคนนั้นบอกว่าไม่เอา พร้อมกับด่า ว่าข้าพเจ้ายืนบิดไปมาอยู่ได้ ไม่มีมารยาท ข้าพเจ้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ติดใจอะไร เรื่องเกิดรุนแรงเมื่อ โสภาคย์ เพื่อนในห้อง ที่พ่อเป็นอัยการโดนว่า ในขณะเรียน ครูท่านนั้น อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เพราะทะเลาะ กับห้องอื่น ขณะที่สอนอยู่
ท่านว่าโสภาคย์หลับ ไม่ตั้งใจฟังทั้งๆ ที่โสภาคย์ไม่ได้หลับ และว่าชาตินี้เธอคงเหมือน พ่อเธอ ไม่ได้หรอก และอีกมากมาย แต่ที่แรงสุด คงเป็นประโยคที่ว่า "พวกเธอคงไม่เกิดจาก ความเสี้ยน ของพ่อแม่หรอกใช่มั้ย" ทุกคนในห้องเริ่มร้องไห้ ครูยังพูดอีกว่า "ร้องทำไม เธอเป็นญาติ กับเค้าเหรอ" จากนั้นก็ไม่เข้าสอน จนครูใหญ่เรียกไปคุย
ข้าพเจ้าในฐานะหัวหน้าห้อง ต้องไปพูดกับครูใหญ่ แต่ก่อนหน้านั้นครูท่านนั้น เรียกข้าพเจ้า ไปคุยว่า ครอบครัวลำบาก ต้องส่งลูก (ที่ครูบอกว่าฉลาดกว่าพวกเรามาก เพราะอยู่เตรียมอุดม) ด้วยตัวคนเดียว และขอร้องว่า อย่าพูดแรงกับครูใหญ่ เวลานั้นรู้สึกอึดอัดเหมือนตัวเอง เป็นนกสองหัว เพราะช่วงนั้น ครูสังคมเรียกเข้าไปคุยบ่อยมาก ขณะเดียวกันต้องสอนสังคม ให้เพื่อนแทนครู และประนีประนอมว่าอย่า ให้เรื่องบานปลาย รู้สึกลำบากใจไปหมด จนวันที่ ไปพบครูใหญ่ ข้าพเจ้าตัดสินใจ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ครูใหญ่ฟัง แต่ขอร้องครูใหญ่ว่า ทุกคน ในห้องของข้าพเจ้า ไม่อยากให้ลงโทษถึงขั้นไล่ออก เพราะข้าพเจ้าเกลี้ยกล่อมเพื่อนว่า สงสาร ครูท่านนั้น เรื่องมันผ่านไปแล้ว และเป็นครั้งแรก ที่สำคัญ ถ้าครูโดนไล่ออก จะไม่มี ครูสอน ซึ่งกระเทือนทั้งชั้น ขณะนั้นต้องเตรียมตัว entrance ซึ่งครูใหญ่บอกว่า จะรับไว้พิจารณา เพราะมีผู้ปกครอง มาฟ้องหลายรายแล้ว ครูท่านนั้นโดนปลดจากตำแหน่งครูประจำชั้น แต่ยังสอนอยู่ พอหมดปีลาออก
ช่วงเวลานั้นรู้สึกสับสน เพราะทั้งสงสารเพื่อนและเห็นใจครู มันเป็นเรื่องยาก ที่จะทำให้สองฝ่าย ยอมประนีประนอม แต่เหตุการณ์ก็จบลงด้วยดี