While hybrid and electric cars are

While hybrid and electric cars are often touted by the media and automobile companies as the wave of the future, in fact, we’re more just re-hashing the wave of the past with them, but with updated technologies.

Before gas cars ruled the road, first steam, then electric cars were king, with a few manufacturers also coming up with hybrid gas/electric cars to get around the limited range and high weight of electric vehicles from the large number of battery cells needed.  Besides causing problems while climbing hills and the like, this high amount of weight particularly caused issues for the tires of the day, which still used soft white rubber without carbon black added to significantly increase certain desirable qualities of the tires over white tires. (more on this here)

Enter Austrian Ferdinand Porsche.  Porsche had little formal engineering training outside of attending occasional classes at the Imperial Technical School in Reichenberg and later sitting in on certain classes in Vienna after getting a job at the Béla Egger Electrical Company.

This lack of formal training didn’t stop him from designing the “System Lohner-Porsche” at the age of 23 in 1898.  This car would not only be the world’s first front wheel drive vehicle, but would also be the basis for the world’s first gas/electric hybrid.  The Lohner-Porsche had two in-wheel electric motors and was powered by on-board batteries.  They later added two more in-wheel motors making it one of the first four wheel drive cars in existence and the first to have a four wheel breaking system.

Because the motors for turning the wheels where embedded in the front wheel hubs themselves, this significantly increased the efficiency of the system by reducing mechanical friction- eliminating the need for a gearbox, clutch, drive shaft, etc.

Porsche followed up the Lohner-Porsche with the world’s first fully functional gas/electric hybrid vehicle, the Semper Vivus (“Always Alive”).  As mentioned, this car was based on the Lohner-Porsche car design, but reduced the number of battery cells from 74 to 44 and added two internal De-Dion-Bouton 2.5 HP combustion engines to power two generators, producing a total of 3.68 kw.

This first hybrid car system worked by having the generators send electricity directly to the electric motors with any excess being used to charge the batteries. This car also had the capability of running just off batteries with the combustion engines turned off, if the driver so chose.

Yet another innovation with the Semper Vivus was that it allowed the gas powered motors to be started by the electric motors by simply reversing the polarity and running it off the batteries for a couple seconds in reverse.  Alternatively, the gas powered motors could be started the “normal” way, by hand cranking them.

The Semper Vivus still had a few problems.  It was fairly bare bones, including having exposed gas powered engines, no shocks on the rear axle, and suffered from a problem of dirt being continually thrown up into various parts of the system, which often resulted in it temporarily breaking down.  In addition to that, it didn’t really solve the problem of weight as it ended up being 70 kg heavier than the original Lohner-Porsche, despite the significant reduction in batteries.  Nevertheless, the Semper Vivus is estimated to have been capable of a top speed of 22 mph with a range of about 124 miles on a full tank, both of which were very good for the day.

Porsche followed the Semper Vivus up with a production capable hybrid, the Lohner-Porsche Mixte in 1901.  The Mixte drastically cut back on the number of battery cells and introduced a much more powerful motor (25 hp), among many other significant improvements.  Among its various accomplishments, the Mixte won the Exelberg Rally in 1901. (Porsche himself drove it at that rally.)  And it broke the Austrian speed record, with a top speed of 60 km/h (37.2 mph), and later the four wheel version was able to get up to 112.6 km/h (70 mph).

Other improvements were made to the Mixte and numerous other hybrid cars were soon developed by various manufacturers with thousands of gas/electric hybrid and electric vehicles being sold throughout the world until Henry Ford and various other factors came into play.

Due in part to his innovative assembly line construction, by 1915 Henry Ford was able to offer his cars at a base price of around $500 a piece (equivalent to about $10,000 today), which made his cars affordable for even the non-wealthy.  In contrast, at that time the average price of an electric car had steadily risen to about $1700 and hybrids were typically much more than that.  This was also around the same time crude oil was discovered in Texas and Oklahoma, which drastically reduced the cost of gasoline so that it was now affordable to average consumers.  Also, Charles Kettering invented the electric starter, which eliminated the need to hand crank gas powered engines. Roads began expanding, spurring the need for greater range than electrics alone could provide at the time.  This was not only because of the range factor, but also because gasoline cars were now becoming significantly faster than electric cars.  Hybrids could cover the distance and some were quite fast, but they were much more expensive than their non-hybrid gas powered counterparts.

Thus, by 1935 the electric and hybrid cars were officially comatose and they wouldn’t be revived until around the 1960s and then still unsuccessfully until showing promising signs of life in the last decade or so.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ในขณะที่ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้ามักจะ touted โดยสื่อและบริษัทรถยนต์เป็นคลื่นในอนาคต ในความเป็นจริง เรามากกว่าเพียงการ hashing คลื่นในอดีต กับพวกเขา แต่ มีการปรับปรุงเทคโนโลยีการ

ก่อนแก๊ส รถปกครองถนน อบไอน้ำครั้งแรก แล้วรถยนต์ไฟฟ้าได้พระ มีผลิตกี่มาถึง ด้วยรถยนต์ไฮบริดไฟฟ้าแก๊สรับช่วงจำกัดและสูงน้ำหนักของยานพาหนะไฟฟ้าจากเซลล์แบตเตอรี่จำเป็นจำนวนมาก  นอกจากทำให้เกิดปัญหาขณะปีนภูเขาความหมาย จำนวนน้ำหนักนี้สูงโดยเฉพาะเกิดปัญหายางวัน ซึ่งยังคงใช้ยางนุ่มสีขาว โดยสีดำคาร์บอนเพิ่มเพื่อเพิ่มคุณสมบัติบางอย่างต้องของยางมากกว่ายางขาว (เพิ่มเติมที่นี่นี้)

พอร์ชใส่เฟอร์ดินานด์ออสเตรีย  พอร์ชมีน้อยทางวิศวกรรมการฝึกอบรมภายนอกมาร่วมสอนเป็นครั้งคราวที่โรงเรียนเทคนิคอิมพีเรียลใน Reichenberg และหลังนั่งในบางชั้นในเวียนนาหลังจากได้รับงานที่ Béla Egger ไฟฟ้าบริษัทการ

นี้ขาดการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการไม่ได้หยุดเขาจากการออกแบบ "ระบบ Lohner-พอร์ช" อายุ 23 ใน 1898  รถคันนี้จะไม่เพียงเป็นรถไดรฟ์ล้อหน้าแรกของโลก แต่ยังจะเป็นพื้นฐานสำหรับการผสมแก๊สไฟฟ้าครั้งแรกของโลก  Lohner-พอร์ชมีมอเตอร์ไฟฟ้าในล้อสอง และถูกขับเคลื่อน โดยแบตเตอรี่เหลือเฟือ  พวกเขาในภายหลังเพิ่มสองเพิ่มเติมในล้อรถยนต์ให้รถยนต์ไดรฟ์ก่อนสี่ล้อในการดำรงอยู่และคนแรกที่มีระบบ 4 ล้อแบ่ง

เนื่องจากมอเตอร์ที่เปลี่ยนล้อ ฝังอยู่ในดุมล้อหน้าตัวเอง ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ โดยการลดแรงเสียดทานทางกล-สำหรับเกียร์ คลัทช์ เพลาขับรถ ฯลฯ

ตามพอร์ชพอร์ช Lohner กับของโลกแรกแก๊สไฟฟ้างานยานพาหนะไฮบริด Semper Vivus ("เสมอชีวิต")  ดังกล่าว รถคันนี้เป็นไปตามแบบรถพอร์ช Lohner แต่ลดจำนวนของเซลล์แบตเตอรี่จาก 74 44 และเพิ่มภายในเดอเซลีนดิออน Bouton 2.5 HP เผาไหม้เครื่องยนต์พลังกำเนิดสอง ผลิตจำนวน 3.68 กิโลวัตต์

แรกผสมรถระบบนี้ทำงาน โดยมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าการส่งไฟฟ้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรงพร้อมเกินใด ๆ ใช้ชาร์จแบตเตอรี่ รถคันนี้ยังมีความสามารถในการใช้ออกแบตเตอรี่กับเครื่องยนต์สันดาปที่ปิด ถ้าเลือกไดรเวอร์

ได้ นวัตกรรมอื่น ด้วย Semper Vivus ถูกว่า อนุญาตยนต์แก๊สขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าจะเริ่มเพียงแต่กลับขั้ว และใช้ปิดแบตเตอรี่สำหรับสองสามวินาทีในการย้อนกลับ  หรือ ก๊าซขับเคลื่อนมอเตอร์อาจจะเริ่ม "ปกติ" ด้วยมือ วิธี cranking นั้น

Semper Vivus ยังมีปัญหาบางอย่าง  ก็ค่อนข้างมุ่ง รวมทั้งมีสัมผัสก๊าซขับเคลื่อนเครื่องยนต์ ไม่มีแรงกระแทกบนเพลาหลัง และรับความเดือดร้อนจากปัญหาของสิ่งสกปรกที่ถูกโยนอย่างต่อเนื่องขึ้นในส่วนต่าง ๆ ของระบบ ซึ่งมักจะเกิดในชั่วคราวแบ่ง  นอกจากนั้นที่ มันไม่ได้แก้ปัญหาของน้ำหนักเมื่อสิ้นสุดการ 70 กก.หนักกว่าเดิม Lohner-พอร์ช จริง ๆ แม้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในแบตเตอรี่  อย่างไรก็ตาม Semper Vivus ประมาณมีความสามารถในการความเร็วสูงสุดความเร็ว 22 ช่วงประมาณ 124 ไมล์ในถังเต็ม ซึ่งทั้งสองได้ดีสำหรับวัน

พอร์ชหลัง Semper Vivus ผลิตสามารถผสม Mixte Lohner พอร์ชใน 1901  Mixte ยังตัดกลับจำนวนเซลล์แบตเตอรี่ และนำมอเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างรวดเร็ว (25 hp), ระหว่างการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญอื่น ๆ มากมาย  ในความสำเร็จต่าง ๆ Mixte ยังชนะการชุมนุม Exelberg ใน 1901 (พอร์ชตัวเองขับรถได้ที่ชุมนุมนั้น)  และมันยากจนคอร์ดเร็วออสเตรีย ด้วยความเร็วสูงสุด 60 km/h (37.2 ความเร็ว), และภายหลังสี่ล้อรุ่นได้รับ (ความเร็ว 70) การ 112.6 กิโลเมตรสินค้า/การ h สินค้าถึง

ปรับปรุงอื่น ๆ ขึ้น Mixte รถไฮบริอื่น ๆ อีกมากมายเร็ว ๆ นี้ถูกพัฒนา โดยผู้ผลิตต่าง ๆ พันผสมแก๊สไฟฟ้าและยานพาหนะไฟฟ้าที่มีการขายทั่วโลกจนเฮนรีฟอร์ด และอื่น ๆ ปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาเล่นด้วย

ครบกำหนดชำระในส่วนการก่อสร้างสายการประกอบเป็นนวัตกรรมใหม่ของเขา โดย 1915 เฮนรีฟอร์ดได้ให้รถของเขาที่ฐานราคาประมาณ $500 ต่อชิ้น (เทียบเท่ากับประมาณ $10000 วันนี้), ซึ่งทำรถยนต์เขาราคาไม่แพงสำหรับแม้ไม่มั่งคั่ง  ในทางตรงกันข้าม ในขณะที่ ราคาเฉลี่ยของรถยนต์เป็นไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องแบกประมาณ $1700 และลูกผสมได้โดยทั่วไปมากขึ้นกว่าที่  นี้ยังเป็นรอบเวลาที่มีการค้นพบน้ำมันดิบในเท็กซัสและโอคลาโฮมา ซึ่งช่วยลดต้นทุนของน้ำมันนั้นก็ตอนนี้ราคาไม่แพงให้กับผู้บริโภคเฉลี่ย เดียวกัน  ยัง เดย์ตันชาร์ลส์คิดค้นสตาร์ทไฟฟ้า ที่ตัดต้องมือ crank ขับเคลื่อนเครื่องยนต์ ถนนเริ่มขยาย หนุนต้องช่วงสูงกว่าไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถให้เวลา  นี้ไม่เพียง เพราะตัวช่วง แต่เนื่องจากรถเบนซินได้ตอนนี้เป็นอย่างมากเร็วกว่ารถยนต์ไฟฟ้า  ลูกผสมสามารถครอบคลุมระยะทาง และบางคนที่ค่อนข้างรวดเร็ว แต่พวกราคาแพงมากขึ้นกว่าก๊าซของพวกเขาไม่ใช่ไฮบริดขับคู่กัน

ดังนี้ ไป รถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดถูกทาง comatose และพวกเขาจะไม่ฟื้นฟูจนกว่ารอบปี 1960 แล้ว ยังประสบความสำเร็จจนกระทั่งแสดงอาการสัญญาของชีวิตในทศวรรษนั้น

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ในขณะที่รถยนต์ไฮบริดและไฟฟ้ามักจะ touted โดยสื่อและ บริษัท รถยนต์ เป็นคลื่นของอนาคต ในความเป็นจริง เราแค่อีกครั้ง hashing คลื่นของอดีตกับพวกเขา แต่ด้วยการปรับปรุงเทคโนโลยี

ก่อนที่รถแก๊สปกครองถนน อบแรกแล้วรถยนต์ไฟฟ้ามีกษัตริย์มีไม่กี่ผู้ผลิตยังมากับรถแก๊ส / ไฟฟ้าไฮบริดเพื่อให้ได้รอบ ช่วง จำกัด และน้ำหนักสูงของยานพาหนะไฟฟ้าจากจำนวนมากของแบตเตอรี่เซลล์ต้องการ อะไรนอกจากก่อให้เกิดปัญหาระหว่างปีนเขาและชอบ ปริมาณสูงของน้ำหนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดปัญหายางของวันซึ่งยังคงใช้สีขาวนุ่ม ยางไม่มีคาร์บอนสีดำเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญเพิ่มคุณภาพของยางบางคุณลักษณะกว่ายางสีขาว ( ในนี้ )

เข้าออสเตรีย เฟอร์ดินานด์ ปอร์เช่ทำไม Porsche เคยฝึกอบรมวิศวกรรมน้อยนอกเข้าชั้นเรียนตามโอกาสที่โรงเรียนเทคนิคอิมพีเรียลใน reichenberg และต่อมานั่งในชั้นเรียนหนึ่งในเวียนนา หลังจากได้งานที่ B é la เอเกอร์บริษัทไฟฟ้า

ขาดการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการไม่ได้หยุดเขาจากการออกแบบ " ระบบ lohner พอร์ช " ตอนอายุ 23 ใน 1898 .ทำไมรถคันนี้จะไม่เพียง แต่เป็นครั้งแรกของโลกที่รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ก็เป็นพื้นฐานของเวิลด์แก๊สก่อน / ไฟฟ้าไฮบริด อะไรที่ lohner Porsche ได้สองล้อ มอเตอร์ ไฟฟ้า และพลังงานจากแบตเตอรี่บนกระดาน ทำไมพวกเขาภายหลังเพิ่มอีกสองในล้อ มอเตอร์ เป็นครั้งแรก ขับเคลื่อนสี่ล้อคันแรกในชีวิต และต้องมี 4 ล้อระบบเบรก .

เพราะมอเตอร์ที่เปลี่ยนล้อที่ฝังตัวอยู่ในหน้าฮับล้อตัวเอง นี้อย่างมีนัยสำคัญเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโดยการลดแรงเสียดทานเชิงกลขจัดความต้องการเกียร์ , คลัช , เพลาขับ ฯลฯ

ติดตาม lohner ปอร์เช่ปอร์เช่กับรถอย่างเต็มที่แก๊ส / ไฟฟ้าไฮบริดตัวแรกของโลก ( Semper Vivus ( " ชีวิต " )อะไรที่กล่าวถึงรถคันนี้ก็ขึ้นอยู่กับ lohner พอร์ชออกแบบรถยนต์ แต่ลดจำนวนเซลล์แบตเตอรี่จาก 74 44 และเพิ่มสองภายในเดอดิออน ปุ่ม 2.5 แรงม้าเครื่องยนต์สันดาปพลังงานสองเครื่อง การผลิตรวม 3.68 kW .

ก่อนรถ hybrid ระบบทำงาน โดยมีเครื่องส่งกระแสไฟฟ้าไปยังมอเตอร์ไฟฟ้ากับส่วนเกินใด ๆถูกใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ รถคันนี้ยัง มีความสามารถในการวิ่งออกจากแบตเตอรี่ด้วยเครื่องยนต์เผาไหม้ปิด ถ้าคนขับจึงเลือก

อีกนวัตกรรมใหม่กับเซมเพอร์ VIVUS มันอนุญาตให้ก๊าซขับเคลื่อนมอเตอร์จะเริ่มต้นด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยเพียงการกลับขั้วและวิ่งออกจากแบตเตอรี่สำหรับสองสามวินาทีในย้อนกลับ รึเปล่าหรือก๊าซขับเคลื่อนมอเตอร์อาจจะเริ่มวิธีการที่ " ปกติ " โดยมือหมุน

. ( Semper Vivus ยังมีปัญหานิดหน่อย ทำไมมันค่อนข้างเปลือยกระดูกรวมทั้งมีการเปิดเผยเครื่องยนต์ขับเคลื่อนก๊าซ ไม่กระแทกบนเพลาหลังและได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาดินถูกโยนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในส่วนต่างๆ ของระบบ ซึ่งมักจะส่งผลให้เกิดชั่วคราวหมดสภาพ อะไรนอกเหนือจากนั้น จริงๆแล้วมันไม่ได้แก้ปัญหาน้ำหนักมันสิ้นสุดขึ้นเป็นหนัก 70 กิโลกรัม กว่าเดิม lohner พอร์ชแม้จะมีการลดลงในแบตเตอรี่ อะไรก็ตาม เซมเพอร์ VIVUS ( มีความสามารถของความเร็วสูงสุด 22 ไมล์ต่อชั่วโมงกับช่วงของเกี่ยวกับ 124 ไมล์ในถังเต็ม ซึ่งทั้งสองเป็นคนดีมากสำหรับวัน

Porsche ตามเสมอ VIVUS ขึ้นกับการผลิตสามารถ lohner ไฮบริด , พอร์ช mixte ใน 1901 .อะไรที่ mixte ฮวบตัดกลับจำนวนเซลล์แบตเตอรี่และแนะนำเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ( 25 HP ) ในการปรับปรุงที่สำคัญอื่น ๆ อีกมากมาย ทำไมความสำเร็จต่าง ๆในการ mixte ชนะ exelberg ชุมนุมใน 1901 . ( พอร์ช ตัวเองขับรถในที่ชุมนุม )  และทำลายสถิติความเร็ว ที่ออสเตรีย ด้วยความเร็วสูงสุด 60 km / h ( 37.2 mph )และต่อมาสี่ล้อรุ่นก็สามารถที่จะลุกขึ้นไป 112.6 กิโลเมตร / ชั่วโมง ( 70 mph ) .

การปรับปรุงอื่น ๆเกิดขึ้นกับ mixte และรถยนต์ไฮบริดสลีอื่น ๆ มากมาย ได้พัฒนาโดยผู้ผลิตต่างๆ ที่มีมากมายของแก๊ส / ไฟฟ้าไฮบริดและยานพาหนะไฟฟ้ามีขายทั่วโลกจนเฮนรี่ ฟอร์ด และปัจจัยอื่น ๆมา

ลงเล่นเนื่องจากในส่วนของเขานวัตกรรมประกอบ ก่อสร้าง โดย 1915 เฮนรี่ ฟอร์ด ได้เสนอให้รถของเขาที่ฐานราคาประมาณ $ 500 ชิ้น ( เทียบเท่าประมาณ $ 10 , 000 ในวันนี้ ) ซึ่งทำให้รถยนต์ของเขามาก แม้ไม่ร่ำรวย อะไร ในทางตรงกันข้าม เวลาที่ราคาเฉลี่ยของรถยนต์ไฟฟ้า มีอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นประมาณ $ 1 , 700 และลูกผสมมักจะมากกว่าที่อะไรนี่ก็เวลาเดียวกับที่น้ำมันถูกค้นพบในเท็กซัสและโอคลาโฮมาซึ่งลดลงอย่างมากต้นทุนของน้ำมันเพื่อให้มันราคาไม่แพงเพื่อผู้บริโภคเฉลี่ย อะไรยัง ชาร์ลส์ Kettering คิดค้นเริ่มต้นไฟฟ้า ซึ่งกรอบต้องมือข้อเหวี่ยงเครื่องยนต์ก๊าซขับเคลื่อน ถนนเริ่มขยายกระตุ้นความต้องการช่วงมากกว่าไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถให้ในตอนนั้น ทำไมมันไม่เพียงเพราะปัจจัยช่วง แต่ยังเพราะรถยนต์เบนซิน ตอนนี้เป็นอย่างมีนัยสำคัญได้เร็วกว่ารถยนต์ไฟฟ้า ไหมลูกผสมสามารถครอบคลุมระยะทาง และค่อนข้างรวดเร็ว แต่พวกเขามีราคาแพงมากขึ้นกว่าของพวกเขาไม่ใช่ไฮบริดก๊าซขับเคลื่อน คู่

ดังนั้นโดย 1935 ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดแล้ว สลบ และพวกเขาจะไม่ได้รับการฟื้นฟูจนถึงประมาณ 60 แล้วยังไม่สำเร็จ จนกระทั่งสัญญาณแนวโน้มของชีวิตในทศวรรษที่ผ่านมาหรือดังนั้น