การไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติ และผลต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย
โดยพอพิศ ยอดแสง, ฝ่ายวิจัยและพัฒนา
นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะการไหลเข้า-ออกของเม็ดเงินต่างชาติที่ค่อนข้างผันผวน จากที่เคยไหลเข้า (Inflow) ในปริมาณมากช่วงต้นปี จนกระทั่งมีการไหลออก (Outflow) อย่างต่อเนื่องในช่วง 4 – 5 เดือนก่อนหน้า และเริ่มไหลกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วง 1 – 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การเปลี่ยนทิศทางของกระแสเงินทุนต่างชาติ ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และราคาตราสารหนี้ปรับตัวขึ้น-ลง ตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. (4 เดือน) มีเม็ดเงินต่างชาติไหลออกไปจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมกันกว่า 170,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็น Outflow ที่เกิดจากแรงขายในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 20,000 ล้านบาท Outflow ที่เกิดจากแรงขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 40,000 ล้านบาท และที่เหลืออีกประมาณ 110,000 ล้านบาทเกิดจากการหมดอายุของตราสารหนี้ที่นักลงทุนต่างชาติเคยถือครองเอาไว้ ซึ่งตัวเลขที่เกิดขึ้นทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า การไหลออกของเม็ดเงินในช่วงที่ผ่านมาเป็นการไหลออกไปจากตราสารหนี้อายุสั้นๆเป็นหลัก (110,000 + 20,000 = 130,000 ล้านบาท) ขณะที่ Outflow จากตราสารหนี้ระยะยาวที่ถึงแม้จะมีปริมาณค่อนข้างสูง แต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลมากนัก เมื่อเทียบกับยอดการถือครอง (Holding) ตราสารหนี้ระยะยาวทั้งหมดของนักลงทุนต่างชาติที่มีอยู่รวมกันกว่า 590,000 ล้านบาท ในช่วงเวลานั้น
อย่างไรก็ตาม Outflow ที่เกิดขึ้น มีผลทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลงในทุกๆ ช่วงอายุ หรือในอีกมุมหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ (Yield) ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Yield ของพันธบัตรอายุ 5 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.0% ในช่วงเดือน พ.ค. มาอยู่ที่ 3.7% ขณะที่ Yield ของพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.5% มาอยู่ที่ 4.3% ณ สิ้นเดือน ส.ค. ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 5.4% จาก 30.41 บาท/USD ในเดือน พ.ค. ไปอยู่ที่ 32.06 บาท/USD ณ สิ้นเดือน ส.ค.
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากประเทศไทยในช่วง 4 – 5 เดือนที่ผ่านมา อาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วนด้วยกัน เริ่มจาก ความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ ทั้งตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ขณะที่ GDP ไตรมาส 2/56 ของสหรัฐฯ ที่ขยายตัวกว่า 2.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า Fed น่าจะเริ่มทำการลดขนาดของมาตรการ QE ในช่วงปลายปี 2556 โดยเฉพาะในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย. ที่ตลาดคาดว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการลดขนาด QE มากขึ้น ขณะที่อีกปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด Outflow ของเม็ดเงินต่างชาติ คือแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 ที่ปรับตัวแย่ลงในเกือบทุกด้าน โดยตัวเลขการส่งออกที่ยังคงหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศอุตสาหกรรมหลักโดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ส่งผลให้ GDP ของไทยในไตรมาส 2/2556 ขยายตัวได้เพียง 2.8% ซึ่งชะลอลงจาก 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้า มุมมองทางเศรษฐกิจที่แย่ลงมีส่วนทำให้เกิด Outflow ของเม็ดเงินต่างชาติตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุม FOMC ในช่วงกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ที่มีมติไม่ลดขนาดของมาตรการ QE ตามที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์เอาไว้ ส่งผลให้เม็ดเงินต่างชาติที่เคยไหลออกไปในช่วงก่อนหน้า ไหลกลับเข้าสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยในช่วงระหว่างวันที่ 16 – 20 ก.ย. ต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไทยกว่า 66,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นการกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตราสารระยะสั้น 48,000 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารระยะยาว 18,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแรงซื้อที่เกิดขึ้นในช่วง 5 วันที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วกระจุกตัวในตราสารหนี้ระยะสั้นซึ่งจะทยอยหมดอายุไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จึงคาดว่าเราอาจจะเห็นยอดซื้อสุทธิต่อเนื่องไปอีกซักระยะเวลาหนึ่ง โดยเป็นการซื้อเพื่อทดแทนตราสารหนี้ตัวเดิมที่หมดอายุลงไปเป็นหลัก
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แรงซื้อสุทธิ 18,000 ล้านบาทในตราสารหนี้ระยะยาว ในช่วงระยะเวลาเพียง 5 วันทำการ หรือคิดเป็นปริมาณเกือบครึ่งหนึ่งของส่วนที่เคย Outflow ในช่วง 4 – 5 เดือนก่อนหน้านี้ ช่วยสะท้อนให้เห็นว่าตลาดตราสารหนี้ไทยยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าลงทุนในมุมมองของต่างชาติ จากราคาที่เคยปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก ซึ่งนักลงทุนทั่วไปอาจนำมาปรับใช้กับการลงทุนของตนเองได้เช่นกัน และถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนในตราสารหนี้อาจไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นสามัญ แต่ความผันและความเสี่ยงก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่อนข้างมากค่ะ
การไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติและผลต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยโดยพอพิศยอดแสง ฝ่ายวิจัยและพัฒนานับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะการไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติที่ค่อนข้างผันผวนจากที่เคยไหลเข้า (นำเข้า) ในปริมาณมากช่วงต้นปีจนกระทั่งมีการไหลออก (กระแส) 4 – 5 อย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนก่อนหน้าและเริ่มไหลกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาการเปลี่ยนทิศทางของกระแสเงินทุนต่างชาติส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และราคาตราสารหนี้ปรับตัวขึ้นลงตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในช่วงเดือนพ.ค. -ส.ค. (4 เดือน) มีเม็ดเงินต่างชาติไหลออกไปจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมกันกว่า 170,000 ล้านวรรคโดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นกระแสที่เกิดจากแรงขายในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 20000 ล้านบาทกระแสที่เกิดจากแรงขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 40000 ล้านบาทและที่เหลืออีกประมาณ 110,000 ล้านบาทเกิดจากการหมดอายุของตราสารหนี้ที่นักลงทุนต่างชาติเคยถือครองเอาไว้ซึ่งตัวเลขที่เกิดขึ้นทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าการไหลออกของเม็ดเงินในช่วงที่ผ่านมาเป็นการไหลออกไปจากตราสารหนี้อายุสั้นๆเป็นหลัก (110,000 + 20000 = 130,000 ล้านบาท) ขณะที่กระแสจากตราสารหนี้ระยะยาวที่ถึงแม้จะมีปริมาณค่อนข้างสูงแต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลมากนักเมื่อเทียบกับยอดการถือครอง (โฮลดิ้ง) ตราสารหนี้ระยะยาวทั้งหมดของนักลงทุนต่างชาติที่มีอยู่รวมกันกว่า 590,000 ล้านบาทในช่วงเวลานั้นอย่างไรก็ตามกระแสที่เกิดขึ้นมีผลทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลงในทุก ๆ ช่วงอายุหรือในอีกมุมหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ (Yield) ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 5 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับในช่วงเดือน 3.0% พ.ค. มาอยู่ที่ขณะที่ 3.7% ผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับมาอยู่ที่ 3.5% 4.3% ณสิ้นเดือนส.ค. ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 5.4% จาก 30.41 บาท/USD ในเดือนพ.ค. ไปอยู่ที่ 32.06 บาท/USD ณสิ้นเดือนส.ค ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากประเทศไทยในช่วง 4 – 5 เดือนที่ผ่านมาอาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วนด้วยกันเริ่มจากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับทั้งตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีขณะที่ GDP 2/56 ไตรมาสของสหรัฐฯ ที่ขยายตัวกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า 2.5% ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเฟดน่าจะเริ่มทำการลดขนาดของมาตรการ QE ในช่วงปลายปี 2556 โดยเฉพาะในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (คาดเฟด) ที่จะมีขึ้นในเดือนก.ย. ที่ตลาดคาดว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการลดขนาด QE มากขึ้นขณะที่อีกปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดกระแสของเม็ดเงินต่างชาติคือแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 ที่ปรับตัวแย่ลงในเกือบทุกด้านโดยตกระแสัวเลขการส่งออกที่ยังคงหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศอุตสาหกรรมหลักโดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยส่งผลให้ GDP ของไทยในไตรมาส 2/2556 ขยายตัวได้เพียงซึ่งชะลอลงจาก 2.8% 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้ามุมมองทางเศรษฐกิจที่แย่ลงมีส่วนทำให้เกิดของเม็ดเงินต่างชาติตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุม FOMC ในช่วงกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ที่มีมติไม่ลดขนาดของมาตรการ QE ตามที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์เอาไว้ ส่งผลให้เม็ดเงินต่างชาติที่เคยไหลออกไปในช่วงก่อนหน้า ไหลกลับเข้าสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยในช่วงระหว่างวันที่ 16 – 20 ก.ย. ต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไทยกว่า 66,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นการกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตราสารระยะสั้น 48,000 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารระยะยาว 18,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแรงซื้อที่เกิดขึ้นในช่วง 5 วันที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วกระจุกตัวในตราสารหนี้ระยะสั้นซึ่งจะทยอยหมดอายุไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จึงคาดว่าเราอาจจะเห็นยอดซื้อสุทธิต่อเนื่องไปอีกซักระยะเวลาหนึ่ง โดยเป็นการซื้อเพื่อทดแทนตราสารหนี้ตัวเดิมที่หมดอายุลงไปเป็นหลัก แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือแรงซื้อสุทธิ 18000 ล้านบาทในตราสารหนี้ระยะยาวในช่วงระยะเวลาเพียง 5 วันทำการหรือคิดเป็นปริมาณเกือบครึ่งหนึ่งของส่วนที่เคย 4 – 5 เดือนก่อนหน้านี้ช่วยสะท้อนให้เห็นว่าตลาดตราสารหนี้ไทยยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าลงทุนในมุมมองของต่างชาติจากราคาที่เคยปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากซึ่งนักลงทุนทั่วไปอาจนำมาปรับใช้กับการลงทุนของตนเองได้เช่นกันและถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนในตราสารหนี้อาจไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นสามัญแต่ความผันและความเสี่ยงก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่อนข้างมากค่ะในช่วง Outflow
การแปล กรุณารอสักครู่..
การไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติ ยอดแสง, จากที่เคยไหลเข้า (นำเข้า) ในปริมาณมากช่วงต้นปีจนกระทั่งมีการไหลออก (การรั่วไหล) อย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 เดือนก่อนหน้า 1 - 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และราคาตราสารหนี้ปรับตัวขึ้น - ลงตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ค. - ส.ค. (4 เดือน) 170,000 ล้านบาทโดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นส่งออก (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 20,000 ล้านบาทการรั่วไหล (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 40,000 ล้านบาทและที่เหลืออีกประมาณ 110,000 (110,000 + 20,000 = 130,000 ล้านบาท) ขณะที่การรั่วไหล เมื่อเทียบกับยอดการถือครอง (โฮลดิ้ง) 590,000 ล้านบาทในช่วงเวลานั้นอย่างไรก็ตามการรั่วไหลที่เกิดขึ้น ช่วงอายุ (Yield) ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 5 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.0% ในช่วงเดือน พ.ค. มาอยู่ที่ 3.7% ขณะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.5% มาอยู่ที่ 4.3% ณ สิ้นเดือน ส.ค. ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 5.4% จาก 30.41 บาท / เหรียญสหรัฐในเดือน พ.ค. ไปอยู่ที่ 32.06 บาท / เหรียญสหรัฐ ณ สิ้นเดือน ส.ค. ทั้งนี้ 4-5 เดือนที่ผ่านมาอาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วนด้วยกันเริ่มจากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) (QE) หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ 5 ปีขณะที่จีดีพีไตรมาส 2/56 ของสหรัฐฯที่ขยายตัวกว่า 2.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเฟดน่าจะเริ่มทำการลดขนาดของมาตรการ QE ในช่วงปลายปี 2556 (FOMC) ที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย. QE มากขึ้นขณะที่อีกปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของเม็ดเงินต่างชาติ 2556 ที่ปรับตัวแย่ลงในเกือบทุกด้าน ส่งผลให้จีดีพีของไทยในไตรมาส 2/2556 ขยายตัวได้เพียง 2.8% ซึ่งชะลอลงจาก 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้า การรั่วไหล ภายหลังการประชุม FOMC ในช่วงกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาที่มีมติไม่ลดขนาดของมาตรการ QE ตามที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์เอาไว้ โดยในช่วงระหว่างวันที่ 16-20 ก.ย. 66,000 ล้านบาท 48,000 ล้านบาทและซื้อสุทธิในตราสารระยะยาว 18,000 ล้านบาท 5 วันที่ผ่านมา แรงซื้อสุทธิ 18,000 ล้านบาทในตราสารหนี้ระยะยาวในช่วงระยะเวลาเพียง 5 วันทำการ การไหลออกในช่วง 4-5 เดือนก่อนหน้านี้
การแปล กรุณารอสักครู่..