สหภาพพม่าเป็นประเทศเกษตรกรรม ภาคเกษตรจึงมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP (Gross Domestic Product : GDP) รายภาคมากที่สุด ในปี 2543 ภาคเศรษฐกิจการเกษตรมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 50 ในขณะที่ภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม ภายในช่วงทศวรรษนี้ สัดส่วนภาคเกษตรลดลงเรื่อยมาจนถึงปี 2551 คงเหลือสัดส่วนร้อยละ 43.69 เมื่อเปรียบเทียบกับภาคอุตสาหกรรมพบว่ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเท่าตัวถึงร้อยละ 19.86 และภาคบริการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.84 ของ GDP
ที่ภาคเกษตรมีสัดส่วน gdp มากที่สัดเพราะว่าพม่าเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสินแร่ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ อัญมณี ผลผลิตทางการเกษตร และพลังงานไฟฟ้าจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่
ทำให้ชาวพม่าส่วนใหญ่มีอาชีพหลักคือเกษตรกร
ผลผลิตเกษตรกรรมส่งออก 5 ลำดับสำคัญของพม่า ได้แก่ ข้าว เมล็ดพืช ยางพารา ไม้เนื้อแข็งและไม้สัก และสินค้าประมง
พม่ามีตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ไทย อินเดีย จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น
พม่ามีตลาดนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย มาเลเซีย
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าประเทศพม่าอุดมไปด้วยทรัพยากร แต่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำสุดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงด้วยเพราะพม่าก็ยังค่อนข้างจำกัดการค้า เปิดโอกาสให้ทำการค้าได้ในบางพื้นที่และบางกลุ่มธุรกิจเท่านั้น แต่ต่อมาพม่ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศในทิศทางที่เสรียิ่งขึ้นและได้รับการยอมรับจากนานาชาติเพิ่มขึ้นจนได้รับการผ่อนคลายคว่ำบาตรจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯและสหภาพยุโรปได้ส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจพม่าค่อนข้างมาก นอกจากนี้พม่ายังได้เร่งปฏิรูปนโยบายทางเศรษฐกิจและการเงินเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภายนอกมากขึ้น ทั้งการปรับปรุงกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ที่เป็นที่คาดหมายว่าจะมอบสิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น รวมทั้งการยกเครื่องระบบการเงินของประเทศใหม่โดยเริ่มจากการเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นอัตราลอยตัวแบบมีการจัดการ และการเร่งปรับปรุง ระบบการชำระเงินของประเทศสู่มาตรฐานและความเป็นสากลยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลต่อมุมมองและความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติให้หันมาสนใจและแสวงหาโอกาสการเข้าสู่ตลาดพม่า ทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในพม่ามากมาย