การว่ายน้ำ
น้ำ
น้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพของมนุษย์ ทั้งดื่ม หุง ปรุงอาหาร ซักล้าง อาบ ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ หาอาหาร(สัตว์ชอบอยู่ใกล้แหล่งน้ำ) และการคมนาคม
ในสมัยโบราณมนุษย์ชอบตั้งบ้านสร้างเมืองอยู่ใกล้ลำธาร บึง หนอง ลำคลอง แม่น้ำ ริมทะเล หรือริมทะเลสาบ ไม่เว้นแม้กระทั่งชนเผ่ากลางทะเลทราย หรือชนชาวเขา
ในปัจจุบันน้ำก็ยังจำเป็นอยู่ เมืองใดไม่มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆก็จะดิ้นรนทุกหนทางที่จะให้มีแหล่งน้ำในเมืองให้ได้
ตัวอย่างเช่นที่ลาสเวกัสมีการขุดคลองดึงน้ำจากทะเลสาบเป็นระยะทางหลายกิโลนำน้ำเข้ามาสู่ในเมือง หรืออย่างบางเมืองในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากไม่มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆจึงต้องมีการสูบน้ำจากแหล่งน้ำใหญ่ใต้ดินขึ้นมาผลิตเป็นน้ำกินน้ำใช้ของผู้คนทั้งเมือง
การว่ายน้ำ
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มนุษย์สามารถว่ายน้ำได้มานานแล้ว เป็นเวลาประมาณ 9,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
มนุษย์เรียนรู้การว่ายน้ำด้วยตนเองโดยความพยายามเลียนแบบการดำน้ำ การว่ายน้ำ การเตะเท้า และการลอยตัวของสัตว์ต่างๆ เช่น ปลาโลมา แมวน้ำ กบ และสุนัข
เหตุที่มนุษย์จำเป็นจะต้องว่ายน้ำเป็นตั้งแต่โบราณ ก็เพราะเพื่อการดำรงชีพจับปลาจับสัตว์น้ำ และเพื่อการอยู่รอด เช่นในกรณีข้ามแม่น้ำ พลัดตกน้ำ หรือในกรณีหนีภัยสัตว์ร้ายและข้าศึก
ที่จริงในปัจจุบัน ชนชาวเลและชนชาวแม่น้ำที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ หรืออาบน้ำ หรือเดินเรือริมทะเลหรือริมแม่น้ำ เขาก็เรียนรู้การว่ายน้ำด้วยตนเองโดยไม่มีใครสอนเช่นเดียวกัน อาจจะโดยการสังเกตผู้อื่นที่เขาว่ายเป็นและการลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
การว่ายน้ำก็เหมือนกับการวิ่งและการพุ่งแหลน ที่สมัยก่อนใช้เพื่อการดำรงชีพหาอาหาร หรือสู้กับผู้อื่น หรือเพื่อหนีภัยข้าศึก
ต่อมาก็ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นกีฬาเพื่อการแข่งขัน มีการพัฒนาท่าว่ายน้ำขึ้นให้เป็นแบบมาตรฐาน
และในสมัยการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปี ค.ศ. 1956 จึงได้มีการบรรจุการแข่งขันกีฬาว่ายน้ำ 4 ประเภท คือ ว่ายฟรีสไตล์ ว่ายกรรเชียง ว่ายกบ และว่ายผีเสื้อ ขึ้นเป็นกีฬาสากล ที่มีการแข่งขันของผู้คนจากหลายประเทศ
ท่าที่ว่ายได้เร็วที่สุด คือ ท่าฟรีสไตล์ หรือเรียกอีกอย่างว่าท่าครอว์ล (Frontcrawl Stroke)
เพราะเป็นท่าว่ายที่ลำตัวแนบขนานกับผิวน้ำแบบนอนคว่ำหน้า การเคลื่อนไหวแขนและขาสลับกัน โดยการดึงแขนจากด้านหน้าไปด้านหลังสลับทีละข้าง พร้อมทั้งเตะเท้าสลับขึ้นลง การเตะเท้ากระทำได้หนักโดยใช้ตั้งแต่ต้นขาจนถึงปลายเท้า การหายใจด้วยการบิดหน้าตะแคงไปด้านข้าง ในจังหวะที่ยกแขน และบิดหน้ากลับลงน้ำเมื่อแขนข้างนั้นลงน้ำ การลู่น้ำและเพรียวน้ำกระทำได้ดีและสม่ำเสมอ
และท่าว่ายฟรีสไตล์มักจะเป็นท่าที่มีการฝึกเรียนเป็นท่าแรก เพราะฝึกไม่ยาก ใช้แรงในการฝึกไม่มาก สามารถเร่งจังหวะความเร็วในการว่ายได้
แต่ท่าที่ว่ายสบายที่สุดและเหนื่อยช้า คือ ท่ากบ เพราะสามารถยกใบหน้าและศีรษะไว้เหนือผิวน้ำ สามารถมองดูว่ากำลังเคลื่อนที่ไปยังที่ใด ป้องกันการว่ายแบบหลงทิศทาง สามารถลดอุบัติเหตุจากการว่ายชนกัน เป็นการว่ายที่ใช้แขนดึงน้ำออกด้านนอกเล็กน้อยจนถึงระดับคางแล้วรวบเป็นวงกลมพร้อมกัน 2 ข้าง พร้อมกับเหยียดแขนไปข้างหน้า ใช้ฝ่าเท้าทั้งสองถีบออกไปข้างหลังด้านข้าง แล้วรวบปลายเท้าเข้าหากันอย่างรวดเร็วขณะที่แขนดึงน้ำ ให้ยกศีรษะให้ปากพ้นน้ำอ้าปากหายใจเข้า และหายใจทางปากและจมูกขณะที่เหยียดแขนตรงใต้น้ำ ขาจะงอและถีบออกเมื่อเริ่มเหยียดแขน
ท่าว่ายกบนี้ เป็นท่าที่เหมาะสมที่สุดในการใช้ช่วยชีวิตคนจมน้ำ เพราะขณะช่วยเหลือจะต้องพยุงใบหน้าของผู้ที่ถูกช่วยเหลือให้โผล่พ้นน้ำ และสามารถมองเห็นว่าจะว่ายเข้าฝั่งหรือที่ที่ปลอดภัยทางทิศใด
การว่ายน้ำในบ้านเราในปัจจุบันมีการตื่นตัวพอสมควร มีสระว่ายน้ำเพิ่มขึ้นหลายแห่งทั้งในสถาบันการศึกษา โรงแรม หน่วยราชการ หน่วยทหาร รวมทั้งของเอกชน
มีหลักสูตรการสอนว่ายน้ำในระดับชั้นประถมชั้นมัธยม มีผู้ปกครองหลายคนนำลูกหลานของตนไปว่ายน้ำในวันหยุดและฝึกว่ายน้ำเพิ่มเติม โดยมีทั้งมุ่งหวังให้เป็นนักกีฬาและมุ่งหวังให้ออกกำลังกาย
การสอนว่ายน้ำสามารถสอนได้ในทุกวัยอายุ แต่หากสอนตั้งแต่อายุยังน้อย เช่นเป็นเด็กในวัยเรียนอายุประมาณ 7 ปี ซึ่งมีวุฒิภาวะความพร้อมในการเรียน ผู้เรียนจะมีการเรียนรู้ได้ดี มีความยืดหยุ่นของร่างกายได้ดี เริ่มมีการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และพัฒนาการประสานงานของมือ แขน เท้า ตา และกล้ามเนื้อประสาททุกส่วน รวมทั้งสามารถจะทนอยู่ในน้ำได้นาน จึงนับว่าวัยเด็ก(โดยเฉพาะวัยประมาณ 7 ปี) เป็นวัยที่จะสามารถเรียนว่ายน้ำได้เร็วกว่าผู้ใหญ่