(Honey)
น้ำผึ้งได้มาจากสัตว์ปีกมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า เอพิต สบีซี่ (Apis spp)
จากพุทธประวัติก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ มีความตอนหนึ่งกล่าวว่า นางสุชาดาได้นำข้าวมธุปายาส ซึ่งมีความหมายว่า ข้าวอันเกิดจากน้ำผึ้งมาถวาย พระพุทธเจ้า ทำให้พระองค์มีพระวรกายแข็งแรงขึ้นหลังจากที่ทรงบำเพ็ญทุกขกิริยา แสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อว่าน้ำผึ้งเป็นยาวิเศษที่ใช้บำรุงร่างกาย
น้ำผึ้งคือของเหลวที่มีรสหวาน มีความหนืดสูง เป็นผลผลิตที่ได้จากผึ้ง โดยผึ้งจะได้ความหวานมาจากเกษรดอกไม้
ผึ้งมีวิธีในการผลิตน้ำผึ้งคือ ผึ้งจะดูดเอาน้ำหวานเข้าเก็บในกะเพาะน้ำหวาน เมื่อบินกลับสู่รังจะคายน้ำหวานนี้ให้กับผึ้งที่ทำหน้าที่ผลิตนํ้าผึ้งอีกกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะพวกนี้จะดูดน้ำหวานเข้าสู่กระเพาะน้ำหวาน และขับนํ้าย่อยหรือเอ็นไซม์ออกมาคลุกเคล้าน้ำหวาน เพื่อช่วยย่อยน้ำตาลและสร้างสารต่างๆ ขณะเดียวกันก็จะกระพือปีกเพื่อให้เกิดความร้อนภายใน นํ้าระเหยออกจากน้ำหวานไปเสียบ้าง หลังจากนั้นก็จะคายเอาน้ำหวานนั้นมาเก็บไว้ที่ปากเพื่อให้เปลี่ยนเป็นน้ำผึ้งในขั้นต่อไป และในขณะเดียวกันก็ไล่น้ำออกไปด้วยการกระพือปีกเช่นเดียวกัน ขบวนการผลิตน้ำผึ้งนี้จะใช้เวลาประมาณ ๒๔ ชั่วโมง จึงจะเสร็จเป็นน้ำผึ้ง
ปกตินํ้าหวานจากดอกไม้จะมีน้ำอยู่ประมาณ ๕๐ – ๖๐% และหลังจากนั้นที่ผลิตน้ำผึ้งแล้วจะมีนํ้าไม่เกิน ๒๐% นํ้าผึ้งที่ผลิตได้จะถ่ายไปเก็บในหลอดรังต่อไป เมื่อเต็มแล้ว ผึ้งอีกพวกหนึ่งก็จะสร้างฝาขี้ผึ้งไปปิดหลอดรังเก็บเป็นอาหารต่อไป นํ้าผึ้งที่เก็บไว้อย่างนี้ นานเท่าไรก็ไม่เสีย นับว่าเป็นการถนอมอาหารที่ดีเลิศอย่างหนึ่งของธรรมชาติ
สรุปความหมายของน้ำผึ้งก็คือ น้ำหวานจากรวงผึ้งที่ได้จากผึ้งซึ่งเก็บรวบรวมมาจากเกสรดอกไม้นานาชนิดนั่นเอง
ส่วนประกอบของนํ้าผึ้งแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ
๑. ส่วนประกอบส่วนใหญ่
๒. ส่วนประกอบส่วนย่อย
ขอยกตัวอย่างการวิเคราะห์โดยเฉลี่ยของน้ำผึ้งมาให้ท่านดังนี้
ส่วนประกอบส่วนใหญ่
๑. น้ำตาลฟรุคโตส ๔๑.๐ %
๒. น้ำตาลกลูโคส ๓๕.๐ %
๓. น้ำตาลซูโคลส์ ๑.๙ %
๔. น้ำตาลเด็กตริน ๑.๕%
๕. น้ำ ๑๗.๐%
ส่วนประกอบส่วนย่อย ได้แก่
แร่ธาตุต่างๆ
สี (รงควัตถุ)
โปรตีน
น้ำย่อย (เอ็นไซม์) ไวตามินบีต่างๆ เช่น วิตามินบีหนึ่งและบี ๒ ไพริด๊อกซิน, นีโคตินิค ซึ่งปริมาณของส่วนประกอบต่างๆ ขึ้นกับชนิดของดอกไม้
อาจมีวิธีการปนปลอมของพ่อค้าเพื่อหวังผลกำไรมากๆ ซึ่งมีหลายวิธี คือ
๑. เคี่ยวฝักฉำฉาผสมกับน้ำผึ้ง
๒. ใช้น้ำตาลทรายเคี่ยวผสมกับนํ้าผึ้ง
๓. ละลายแบะแซในนํ้ากลั่นผสมกับน้ำผึ้ง
ซึ่งน้ำผึ้งเหล่านี้ผู้ซื้อไม่ค่อยชำนาญในการสังเกตจะไม่ทราบ เลยว่าเป็นนํ้าผึ้งที่มีการปนปลอม
ในกรณีผักฉำฉาผสมในน้ำผึ้งนั้น จากความเชื่อถือนั้นผักฉำฉาเป็นยาระบาย แต่ก็ยังไม่มีการวิจัยเป็นที่แน่ชัดว่า ภายในผักฉำฉามีสารอะไรอยู่บ้าง มีสารพิษหรือไม่ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
นํ้าเชื่อมที่ผสมในน้ำผึ้งปลอมกับนํ้าตาลที่มีอยู่ในน้ำผึ้งแท้ มีคุเนค่าทางอาหารแตกต่างกันหรือไม่
จากส่วนประกอบของนํ้าผึ้ง จะเห็นว่าส่วนใหญ่คือน้ำตาล ส่วน ๗๘% เป็นน้ำตาล ที่เรียกว่าโมโนแซคคาไรด์ ซึ่งดูดซึมได้เร็ว สามารถให้พลังงานได้เร็วกว่าน้ำตาลธรรมดา และน้ำตาลในน้ำผึ้งจะมีรสกลมกล่อมกว่านํ้าเชื่อมธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสารอินทรีย์ ถึงแม้ว่าเป็นส่วนประกอบย่อยทำให้รสและกลิ่นดีขึ้นอย่างมาก
ส่วนน้ำผึ้งผสมแบะแซ แบะแซนั้นทราบมาว่าได้จากข้าวโอ๊ตหมัก ซึ่งไม่มีพิษภัยอะไรแต่อาจให้คุณค่าทางยาน้อยลง
วิธีตรวจการปนปลอมของน้ำผึ้ง
๑. วิธีการตรวจการปนปลอมของน้ำผึ้งตามพื้นบ้าน มีวีธีง่ายๆ คือ ประการแรก ใช้กระดาษซับ กระดาษฟางหรือกระดาษทิสชูเช็ดหน้านี้เอง โดยหยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษนั้น ถ้าเป็นน้ำผึ้งที่ปนปลอมมันจะซึมขยายวงกว้างออกไป วิธีนี้ตรวจยากถ้าน้ำผึ้งนั้นผสมแบะแซ เพราะจะไม่ซึม วิธีที่สองคือ ใช้ความชำนาญในการชิมรสและดมกลิ่น และวิธีสุดท้ายคือ ถ้าเป็นน้ำผึ้งที่ปนปลอมเวลาเปิดฝาจะมีแก๊สพุ่งออกมา
๒. การตรวจการปนปลอมของนํ้าผึ้งโดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ คือ
๑. ใช้กล้องส่องที่เรียกว่า โปลาริมิเตอร์ (polarimeter) น้ำผึ้งแท้จะหมุนแสงไปทางซ้าย ถ้าเติมน้ำตาลหรือแบะแซ จะทำให้การหมุนแสงไปทางขวามือ ซึ่งทำให้เราทราบได้ว่ามีการปนปลอมนํ้าตาลชนิดอื่นๆ ลงไปไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลทรายหรือแบะแซ การ หมุนของแสงจะผิดกัน
๒. เรียกว่า เรซอซินอลเทสต์ resorcinotest คือบางคนปลอมโดยเอานํ้าตาลมาสลายด้วยกรด ผลที่ได้ทำให้ผลึกของนํ้าตาลใกล้เคียงกับน้ำผึ้ง ถ้าเอานํ้าผึ้งที่สงสัยมาสกัดด้วยอีเธอร์และเติมสารละลายเรซอซินอลลงไป ถ้าเป็นน้ำผึ้งปลอมจะได้สีแดงทันที ส่วนนํ้าผึ้งแท้จะไม่มีสี
๓. วัดหาปริมาณของขี้เถ้าและไนโตรเจนของน้ำผึ้ง นํ้าผึ้งแท้เมื่อนำมาเผาจนเป็นเถ้าถ่าน จะมีเถ้าถ่านเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง แต่ถ้าน้ำผึ้งปนปลอมนั้นมักจะได้มาจากน้ำตาลที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ ขี้เถ้าและไนโตรเจนจะน้อยกว่าน้ำผึ้งแท้มาก คือน้ำผึ้งจะมีเถ้าประมาณ ๐.๒% ไนโตรเจนประมาณ ๐.๐๕ % ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในสหรัฐอเมริกา
๔. ปริมาณของน้ำหรือความชื้น ถ้าเกิน ๒๐% ก็น่าจะเชื่อว่าเป็นน้ำผึ้งที่ปนน้ำลงไป
นํ้าผึ้งนั้นสีแตกต่างกันได้มาก เท่าที่ทราบจะมีตั้งแต่สีเหลืองอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้ม สีของน้ำผึ้งจะบอกอะไรเราได้ไม่มาก สีของมันนั้นขึ้นกับชนิดของเกสรดอกไม้ที่นำมาบ้าง ท่านอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าถ้าสีขาวใสละก็ปลอม สีเข้มก็นํ้าผึ้งแท้ จะปลอมหรือไม่ก็ต้องดูที่ส่วนประกอบดังที่ได้กล่าวมาแล้ว สีของน้ำผึ้งมีได้ตั้งแต่ใส เหลือง น้ำตาล จนถึงสีดำ เช่น สีนํ้าผึ้งที่ใด้จากดอกมะพร้าวมีสีนํ้าตาล
ทำไมน้ำผึ้งเดือน ๕ จึงถือว่าเป็นน้ำผึ้งที่ดีที่สุดนั้น คือ
เดือน ๕ ก็จะเป็นเดือนประมาณ กุมภาพนธ์ -มีนาคม ช่วงนี้จะเป็นที่มีดอกไม้มาก น้ำผึ้งในรังก็มีปริมาณสูง และมีสำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม เป็นช่วงที่ไม่มีฝน ทำให้น้ำในน้ำผึ้งมีปริมาณต่ำได้ตามมาตรฐาน ส่วนช่วงเดือนอื่นๆ แม้ว่าจะมีดอกไม้มากก็มักจะมีฝนตกหรือช่วงที่ปลอดฝนก็มักจะมีดอกไม้ต่ำ เพราะฉะนั้นช่วง เดือน ๕ จึงเป็นเดือนที่พอเหมาะทั้ง ๒ ประการ คือที่มีดอกไม้มาก นํ้าผึ้งสูงและปลอดฝนด้วย
การเก็บรักษาน้ำผึ้ง
ประการแรก คือ ถ้าเป็นนํ้าผึ้ง