การดำรงอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมการเมืองนั้น ย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้ การแปล - การดำรงอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมการเมืองนั้น ย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้ ไทย วิธีการพูด

การดำรงอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมกา

การดำรงอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมการเมืองนั้น ย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในระดับบุคคลหรือใน
ระดับสังคม เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มิได้ถือกำเนิดมาเหมือนกันทุกประการ หากมีความแตกต่างกันในหลายลักษณะนับแต่ความแตกต่างทาง
ชาติพันธุ์ ไปจนถึงสภาพแวดล้อมทางสังคม วีถีชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรม แม้ว่าความแตกต่างโดยพื้นฐานในลักษณะต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างดังกล่าวนี้
มักเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งระหว่างคนต่างกลุ่มที่อยู่ร่วมในสังคม แต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นบ่อเกิดของความรุนแรงด้วยแต่อย่างใด
เนื่องจากปัญหาความรุนแรงในสังคม มีต้นตอที่แท้จริงอยู่ที่การเลือกใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้ลุล่วง มากกว่า
จะเกิดจากปัญหาความขัดแย้งในตัวเอง นั่นย่อมหมายความว่าเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นแล้ว สังคมมีทางเลือกหลากหลายวิถีทางในการแก้ไขข้อขัดแย้งให้
ลุล่วงไปได้ ส่วนการใช้ความรุนแรงนั้น เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาเท่านั้น มิใช่เป็นทางออกเดียวในการจัดการความขัดแย้งในสังคม ตัวอย่างที่ชัดเจน
ก็คือ การแก้ไขข้อขัดแย้งทางด้านพรมแดนระหว่างชาติสองชาติ อาจจัดการได้ทั้งโดยการใช้ความรุนแรงอย่างการทำสงคราม หรือการไม่ใช้ความรุนแรง
อย่างการเจรจาทางการฑูต เป็นต้น



สันติวิธี คือวิธีการจัดการกับความขัดแย้งวิธีหนึ่ง การใช้สันติวิธีมีเหตุผลสำคัญตรงที่ว่า เป็นวิธีการที่น่าจะมีการสูญเสียน้อยที่สุด ทั้งระยะสั้นระยะยาว
ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ผิดกับการใช้ความรุนแรง ซึ่งทุกฝ่ายอ้างว่าเป็นวิธีการสุดท้าย ซึ่งบางกรณีสามารถบรรลุผลในระยะสั้นเป็นรูปธรรมชัดเจน แต่หาก
ความขัดแย้งดำรงอยู่เพียงแต่ถูกกดไว้ โอกาสที่จะเกิดความรุนแรงในระยะยาวย่อมมีอยู่ ส่วนในทางนามธรรม เช่น ความเข้าใจอันดี ความสามัคคีปรองดอง
นั้นย่อมเกิดขึ้นได้ยากด้วยวิถีความรุนแรง
บางคนมองสันติวิธีในลักษณะปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจ เช่น การใช้ปฏิบัติการไร้ความรุนแรงเพื่อให้รัฐหรือผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือพฤติกรรม
บางคนใช้สันติวิธี เพราะความเชื่อว่าจะให้ผลที่ยั่งยืนและเป็นไปตามหลักจริยธรรม หรือ ศาสนธรรม บางคนใช้สันติวิธีตามหลักการบริหารเพื่อลดความ
ขัดแย้ง ไปใส่รูปแบบอื่นที่จะจัดการได้ดีกว่า โดยไม่ใช้ความรุนแรง
การสร้างสังคมสมานฉันท์ จำเป็นต้องอยู่บนเงื่อนไขของการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีหรือการไม่ใช้ความรุนแรงเป็นสำคัญ โดยถือว่าสันติวิธี
เป็นทางเลือกหลักเมื่อเผชิญกับความขัดแย้ง และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม เพื่อปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา เนื่องจากการใช้ความรุนแรง
ไม่ว่าจะโดยรัฐหรือกลุ่มคนผู้ก่อความรุนแรง ต่างเกิดขึ้นจากเงื่อนไขที่เชื่อว่า ต่างฝ่ายต่างมีความชอบธรรมที่จะใช้ความรุนแรง เป็นวิธีการบรรลุวัตถุประสงค์
ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อเป้าหมายในการสร้างความเป็นธรรม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม ทั้งนี้ เนื่องจากการใช้ความรุนแรง แม้จะเป็น
มาตรการในการจัดการปัญหาที่ดำเนินการได้ง่ายและรวดเร็ว แต่การใช้ความรุนแรงจัดการปัญหากลับจะทำให้สังคมมองไม่เห็นทางเลือกทางการเมืองอื่นๆ
และที่สำคัญ ยังอาจทำให้ความขัดแย้งยิ่งขยายวงกว้างและนำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรงหนักขึ้น



สำหรับกระบวนการจัดการและแก้ปัญหาความขัดแย้งแบบสันติวิธี มีวิธีการที่สามารถดำเนินการได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นกับว่าความขัดแย้งอยู่ใน
สถานการณ์ใด ระหว่างก่อนเกิดสถานการณ์ ระหว่างที่เกิดสถานการณ์ และภายหลังสถานการณ์ความขัดแย้งผ่านพ้นไปแล้ว ในกรณีที่พบว่าความขัดแย้ง
กำลังจะก่อตัวแนวทางการจัดการเพื่อคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งที่เหมาะสมคือ การเสนอแนวทางไต่สวนสาธารณะ (Public hearing) ซึ่งเป็นวิธีการที่ควร
เกิดก่อนที่จะมีการดำเนินการตัดสินใจในนโยบายสาธารณะขนาดใหญ่ เพื่อให้ทรรศนะที่แตกต่างขัดแย้งกันระหว่างคนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับการพิจารณาและ
นำไปสู่การสร้างข้อสรุปและการตัดสินใจร่วมกันของคนในสังคม
ในกรณีที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นและนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายที่ตรงข้ามกัน เช่น การชุมนุมเรียกร้อง การปิดถนน ล้อมทำเนียบรัฐบาลหรือ
ส่วนราชการ ปิดล้อมโรงงาน เป็นต้น แนวทางการจัดการปัญหาความขัดแย้งที่เหมาะสมก็คือ การสร้างพื้นที่สำหรับการสานเสวนาระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้งผ่าน
กระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบมีคนกลาง ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนกลุ่มผู้เรียกร้อง และผู้แทนภาควิชาการ โดยอาจเป็นการเจรจาเพื่อต่อรอง
(Negotiation) เพื่อหาข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาในประเด็นที่ไม่ซับซ้อนนักหรือการเจรจาไกล่เกลี่ย คนกลาง (Mediation) ในกรณีที่
คู่ขัดแย้งเห็นว่าทั้งคู่ต่างไม่สามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้โดยลำพัง จึงต้องอาศัยการยอมรับความช่วยเหลือจากคนกลางเป็นผู้ช่วยตัดสินใจในปัญหาความ
ขัดแย้ง
สำหรับกรณีที่ปัญหาความขัดแย้งได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแล้ว เช่นการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้งกันด้วยความรุนแรง และก่อให้เกิดความเสียหาย
ในร่างกายและทรัพย์สิน แนวทางการจัดการความขัดแย้งอย่างสันติวิธีที่เหมาะสมคือ กระบวนการยุติธรรมสมานฉันท์ (Restorative justice) ซึ่งเป็น
กระบวนการเยียวยาปัญหาความขัดแย้งโดยให้ความสนใจในการฟื้นฟูแก่เหยื่อและชุมชนที่ตกเป็นเหยื่อมากกว่าการให้คุณค่าเรื่องการลงโทษผู้ทำผิด โดย
ยกระดับความสำคัญของเหยื่อในกระบวนการยุติธรรมให้มากขึ้น รวมทั้งการดึงชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมเรียกร้องให้ผู้ทำผิดแสดงความรับผิดชอบโดยตรง
ต่อบุคคลหรือชุมชน ซึ่งเป็นกระบวนการจัดการข้อพิพาทที่มีรากฐานอยู่ในวัฒนธรรมชุมชนดั้งเดิม เช่น การประชุมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในหมู่บ้าน การ
บรรเทาและเยียวยาความเสียหายของเหยื่อด้วยจารีตกฎเกณฑ์ในชุมชน เป็นต้น
หลักการสำคัญที่ให้ความใส่ใจคือ เราจะหันหลังให้แก่ “พลังของความเกลียดชัง” ไปสู่ “การสร้างพลังแห่งการแบ่งปันสิ่งดีๆ” ให้แก่กันและกันได้
อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะแบ่งปันความรักให้มนุษย์ร่วมโลกท่ามกลางความหลากหลายได้อย่างไร เราจะแบ่งปันผลประโยชน์ และความต้องการด้าน
ทรัพยากร ให้สอดรับกับโลกธรรมที่มีอยู่และดำรงอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
การดำรงอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมการเมืองนั้นย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในระดับบุคคลหรือใน
ระดับสังคมเนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มิได้ถือกำเนิดมาเหมือนกันทุกประการหากมีความแตกต่างกันในหลายลักษณะนับแต่ความแตกต่างทาง
ชาติพันธุ์ไปจนถึงสภาพแวดล้อมทางสังคมวีถีชีวิตความเชื่อและวัฒนธรรมแม้ว่าความแตกต่างโดยพื้นฐานในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างดังกล่าวนี้
มักเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งระหว่างคนต่างกลุ่มที่อยู่ร่วมในสังคมแต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นบ่อเกิดของความรุนแรงด้วยแต่อย่างใด
เนื่องจากปัญหาความรุนแรงในสังคมมีต้นตอที่แท้จริงอยู่ที่การเลือกใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้ลุล่วงมากกว่า
จะเกิดจากปัญหาความขัดแย้งในตัวเองนั่นย่อมหมายความว่าเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นแล้วสังคมมีทางเลือกหลากหลายวิถีทางในการแก้ไขข้อขัดแย้งให้
ลุล่วงไปได้ส่วนการใช้ความรุนแรงนั้นเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาเท่านั้นมิใช่เป็นทางออกเดียวในการจัดการความขัดแย้งในสังคมตัวอย่างที่ชัดเจน
ก็คือการแก้ไขข้อขัดแย้งทางด้านพรมแดนระหว่างชาติสองชาติอาจจัดการได้ทั้งโดยการใช้ความรุนแรงอย่างการทำสงครามหรือการไม่ใช้ความรุนแรง
อย่างการเจรจาทางการฑูตเป็นต้น


สันติวิธีคือวิธีการจัดการกับความขัดแย้งวิธีหนึ่งการใช้สันติวิธีมีเหตุผลสำคัญตรงที่ว่าเป็นวิธีการที่น่าจะมีการสูญเสียน้อยที่สุดทั้งระยะสั้นระยะยาว
ทั้งรูปธรรมและนามธรรมผิดกับการใช้ความรุนแรงซึ่งทุกฝ่ายอ้างว่าเป็นวิธีการสุดท้ายซึ่งบางกรณีสามารถบรรลุผลในระยะสั้นเป็นรูปธรรมชัดเจนแต่หาก
ความขัดแย้งดำรงอยู่เพียงแต่ถูกกดไว้โอกาสที่จะเกิดความรุนแรงในระยะยาวย่อมมีอยู่ส่วนในทางนามธรรมเช่นความเข้าใจอันดีความสามัคคีปรองดอง
นั้นย่อมเกิดขึ้นได้ยากด้วยวิถีความรุนแรง
บางคนมองสันติวิธีในลักษณะปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจเช่นการใช้ปฏิบัติการไร้ความรุนแรงเพื่อให้รัฐหรือผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือพฤติกรรม
บางคนใช้สันติวิธีเพราะความเชื่อว่าจะให้ผลที่ยั่งยืนและเป็นไปตามหลักจริยธรรมหรือศาสนธรรมบางคนใช้สันติวิธีตามหลักการบริหารเพื่อลดความ
ขัดแย้งไปใส่รูปแบบอื่นที่จะจัดการได้ดีกว่าโดยไม่ใช้ความรุนแรง
การสร้างสังคมสมานฉันท์จำเป็นต้องอยู่บนเงื่อนไขของการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีหรือการไม่ใช้ความรุนแรงเป็นสำคัญโดยถือว่าสันติวิธี
เป็นทางเลือกหลักเมื่อเผชิญกับความขัดแย้งและยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมเพื่อปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาเนื่องจากการใช้ความรุนแรง
ไม่ว่าจะโดยรัฐหรือกลุ่มคนผู้ก่อความรุนแรงต่างเกิดขึ้นจากเงื่อนไขที่เชื่อว่าต่างฝ่ายต่างมีความชอบธรรมที่จะใช้ความรุนแรงเป็นวิธีการบรรลุวัตถุประสงค์
ของตนเองไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อเป้าหมายในการสร้างความเป็นธรรมหรือการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคมทั้งนี้เนื่องจากการใช้ความรุนแรงแม้จะเป็น
มาตรการในการจัดการปัญหาที่ดำเนินการได้ง่ายและรวดเร็วแต่การใช้ความรุนแรงจัดการปัญหากลับจะทำให้สังคมมองไม่เห็นทางเลือกทางการเมืองอื่น ๆ
และที่สำคัญยังอาจทำให้ความขัดแย้งยิ่งขยายวงกว้างและนำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรงหนักขึ้น


สำหรับกระบวนการจัดการและแก้ปัญหาความขัดแย้งแบบสันติวิธีมีวิธีการที่สามารถดำเนินการได้หลากหลายรูปแบบขึ้นกับว่าความขัดแย้งอยู่ใน
สถานการณ์ใดระหว่างก่อนเกิดสถานการณ์ระหว่างที่เกิดสถานการณ์และภายหลังสถานการณ์ความขัดแย้งผ่านพ้นไปแล้วในกรณีที่พบว่าความขัดแย้ง
กำลังจะก่อตัวแนวทางการจัดการเพื่อคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งที่เหมาะสมคือการเสนอแนวทางไต่สวนสาธารณะ (ประชาพิจารณ์) ซึ่งเป็นวิธีการที่ควร
เกิดก่อนที่จะมีการดำเนินการตัดสินใจในนโยบายสาธารณะขนาดใหญ่เพื่อให้ทรรศนะที่แตกต่างขัดแย้งกันระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ได้รับการพิจารณาและ
นำไปสู่การสร้างข้อสรุปและการตัดสินใจร่วมกันของคนในสังคม
ในกรณีที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นและนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายที่ตรงข้ามกันเช่นการชุมนุมเรียกร้องการปิดถนนล้อมทำเนียบรัฐบาลหรือ
ส่วนราชการปิดล้อมโรงงานเป็นต้นแนวทางการจัดการปัญหาความขัดแย้งที่เหมาะสมก็คือการสร้างพื้นที่สำหรับการสานเสวนาระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้งผ่าน
กระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบมีคนกลางซึ่งประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐผู้แทนกลุ่มผู้เรียกร้องและผู้แทนภาควิชาการโดยอาจเป็นการเจรจาเพื่อต่อรอง
(เจรจา) เพื่อหาข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาในประเด็นที่ไม่ซับซ้อนนักหรือการเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลาง (กาชาด) ในกรณีที่
คู่ขัดแย้งเห็นว่าทั้งคู่ต่างไม่สามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้โดยลำพังจึงต้องอาศัยการยอมรับความช่วยเหลือจากคนกลางเป็นผู้ช่วยตัดสินใจในปัญหาความ
ขัดแย้ง
สำหรับกรณีที่ปัญหาความขัดแย้งได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแล้วเช่นการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้งกันด้วยความรุนแรงและก่อให้เกิดความเสียหาย
ซึ่งเป็นในร่างกายและทรัพย์สินแนวทางการจัดการความขัดแย้งอย่างสันติวิธีที่เหมาะสมคือกระบวนการยุติธรรมสมานฉันท์ (ฟื้นฟูความยุติธรรม)
กระบวนการเยียวยาปัญหาความขัดแย้งโดยให้ความสนใจในการฟื้นฟูแก่เหยื่อและชุมชนที่ตกเป็นเหยื่อมากกว่าการให้คุณค่าเรื่องการลงโทษผู้ทำผิดโดย
ยกระดับความสำคัญของเหยื่อในกระบวนการยุติธรรมให้มากขึ้นรวมทั้งการดึงชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมเรียกร้องให้ผู้ทำผิดแสดงความรับผิดชอบโดยตรง
ตามหลักการการประชุมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในหมู่บ้านเช่นซึ่งเป็นกระบวนการจัดการข้อพิพาทที่มีรากฐานอยู่ในวัฒนธรรมชุมชนดั้งเดิมต่อบุคคลหรือชุมชน
บรรเทาและเยียวยาความเสียหายของเหยื่อด้วยจารีตกฎเกณฑ์ในชุมชนเป็นต้น
หลักการสำคัญที่ให้ความใส่ใจคือเราจะหันหลังให้แก่ "พลังของความเกลียดชัง" ไปสู่ "การสร้างพลังแห่งการแบ่งปันสิ่งดีๆ" ให้แก่กันและกันได้
อย่างไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะแบ่งปันความรักให้มนุษย์ร่วมโลกท่ามกลางความหลากหลายได้อย่างไรเราจะแบ่งปันผลประโยชน์และความต้องการด้าน
ทรัพยากรให้สอดรับกับโลกธรรมที่มีอยู่และดำรงอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!

เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว
ไปจนถึงสภาพแวดล้อมทางสังคมวีถีชีวิตความเชื่อและวัฒนธรรม ส่วนการใช้ความรุนแรงนั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ เป็นต้นสันติวิธี ผิดกับการใช้ความรุนแรง ส่วนในทางนามธรรมเช่นความเข้าใจอันดี เช่น หรือศาสนธรรม และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม ทั้งนี้เนื่องจากการใช้ความรุนแรง ระหว่างก่อนเกิดสถานการณ์ระหว่างที่เกิดสถานการณ์ การเสนอแนวทางไต่สวนสาธารณะ (ประชาพิจารณ์) ๆ เช่นการชุมนุมเรียกร้องการปิดถนนล้อมทำเนียบรัฐบาลหรือส่วนราชการปิดล้อมโรงงานเป็นต้น ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐผู้แทนกลุ่มผู้เรียกร้องและผู้แทนภาควิชาการโดยอาจเป็นการเจรจาเพื่อต่อรอง(การเจรจาต่อรอง) คนกลาง (ไกล่เกลี่ย) กระบวนการยุติธรรมสมานฉันท์ (ความยุติธรรมบูรณะ) เช่น เราจะหันหลัง "พลังของความเกลียดชัง" ไปสู่ให้แก่ ให้แก่กันและกันได้อย่างไรโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะแบ่งปันผลประโยชน์และความต้องการด้านทรัพยากร












































การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
การดำรงอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมการเมืองนั้นย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในระดับบุคคลหรือใน
ระดับสังคมเนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มิได้ถือกำเนิดมาเหมือนกันทุกประการหากมีความแตกต่างกันในหลายลักษณะนับแต่ความแตกต่างทาง
ชาติพันธุ์ไปจนถึงสภาพแวดล้อมทางสังคมวีถีชีวิตความเชื่อและวัฒนธรรมแม้ว่าความแตกต่างโดยพื้นฐานในลักษณะต่างๆซึ่งมีความแตกต่างดังกล่าวนี้
มักเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งระหว่างคนต่างกลุ่มที่อยู่ร่วมในสังคมแต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นบ่อเกิดของความรุนแรงด้วยแต่อย่างใด
เนื่องจากปัญหาความรุนแรงในสังคมมีต้นตอที่แท้จริงอยู่ที่การเลือกใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้ลุล่วงมากกว่า
จะเกิดจากปัญหาความขัดแย้งในตัวเองนั่นย่อมหมายความว่าเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นแล้วสังคมมีทางเลือกหลากหลายวิถีทางในการแก้ไขข้อขัดแย้งให้
ลุล่วงไปได้ส่วนการใช้ความรุนแรงนั้นเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาเท่านั้นมิใช่เป็นทางออกเดียวในการจัดการความขัดแย้งในสังคมตัวอย่างที่ชัดเจน
ก็คือการแก้ไขข้อขัดแย้งทางด้านพรมแดนระหว่างชาติสองชาติอาจจัดการได้ทั้งโดยการใช้ความรุนแรงอย่างการทำสงครามหรือการไม่ใช้ความรุนแรง




อย่างการเจรจาทางการฑูตเป็นต้นสันติวิธีคือวิธีการจัดการกับความขัดแย้งวิธีหนึ่งการใช้สันติวิธีมีเหตุผลสำคัญตรงที่ว่าเป็นวิธีการที่น่าจะมีการสูญเสียน้อยที่สุดทั้งระยะสั้นระยะยาว
ทั้งรูปธรรมและนามธรรมผิดกับการใช้ความรุนแรงซึ่งทุกฝ่ายอ้างว่าเป็นวิธีการสุดท้ายซึ่งบางกรณีสามารถบรรลุผลในระยะสั้นเป็นรูปธรรมชัดเจนแต่หาก
ความขัดแย้งดำรงอยู่เพียงแต่ถูกกดไว้โอกาสที่จะเกิดความรุนแรงในระยะยาวย่อมมีอยู่ส่วนในทางนามธรรมเช่นความเข้าใจอันดีความสามัคคีปรองดอง

นั้นย่อมเกิดขึ้นได้ยากด้วยวิถีความรุนแรงบางคนมองสันติวิธีในลักษณะปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจเช่นการใช้ปฏิบัติการไร้ความรุนแรงเพื่อให้รัฐหรือผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือพฤติกรรม
บางคนใช้สันติวิธีเพราะความเชื่อว่าจะให้ผลที่ยั่งยืนและเป็นไปตามหลักจริยธรรมค็อคศาสนธรรมบางคนใช้สันติวิธีตามหลักการบริหารเพื่อลดความไปใส่รูปแบบอื่นที่จะจัดการได้ดีกว่าโดยไม่ใช้ความรุนแรง

ขัดแย้งการสร้างสังคมสมานฉันท์จำเป็นต้องอยู่บนเงื่อนไขของการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีหรือการไม่ใช้ความรุนแรงเป็นสำคัญโดยถือว่าสันติวิธี
เป็นทางเลือกหลักเมื่อเผชิญกับความขัดแย้งและยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมเพื่อปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาเนื่องจากการใช้ความรุนแรง
ไม่ว่าจะโดยรัฐหรือกลุ่มคนผู้ก่อความรุนแรงต่างเกิดขึ้นจากเงื่อนไขที่เชื่อว่าต่างฝ่ายต่างมีความชอบธรรมที่จะใช้ความรุนแรงเป็นวิธีการบรรลุวัตถุประสงค์
ของตนเองไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อเป้าหมายในการสร้างความเป็นธรรมหรือการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคมทั้งนี้เนื่องจากการใช้ความรุนแรงแม้จะเป็น
มาตรการในการจัดการปัญหาที่ดำเนินการได้ง่ายและรวดเร็วแต่การใช้ความรุนแรงจัดการปัญหากลับจะทำให้สังคมมองไม่เห็นทางเลือกทางการเมืองอื่นๆ
และที่สำคัญยังอาจทำให้ความขัดแย้งยิ่งขยายวงกว้างและนำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรงหนักขึ้น



สำหรับกระบวนการจัดการและแก้ปัญหาความขัดแย้งแบบสันติวิธีมีวิธีการที่สามารถดำเนินการได้หลากหลายรูปแบบขึ้นกับว่าความขัดแย้งอยู่ใน
สถานการณ์ใดระหว่างก่อนเกิดสถานการณ์ระหว่างที่เกิดสถานการณ์และภายหลังสถานการณ์ความขัดแย้งผ่านพ้นไปแล้วในกรณีที่พบว่าความขัดแย้ง
กำลังจะก่อตัวแนวทางการจัดการเพื่อคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งที่เหมาะสมคือการเสนอแนวทางไต่สวนสาธารณะ ( ประชาพิจารณ์ ) ซึ่งเป็นวิธีการที่ควร
เกิดก่อนที่จะมีการดำเนินการตัดสินใจในนโยบายสาธารณะขนาดใหญ่เพื่อให้ทรรศนะที่แตกต่างขัดแย้งกันระหว่างคนกลุ่มต่างจะได้รับการพิจารณาและ

นำไปสู่การสร้างข้อสรุปและการตัดสินใจร่วมกันของคนในสังคมในกรณีที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นและนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายที่ตรงข้ามกันเช่นการชุมนุมเรียกร้องการปิดถนนล้อมทำเนียบรัฐบาลหรือ
ส่วนราชการปิดล้อมโรงงานเป็นต้นแนวทางการจัดการปัญหาความขัดแย้งที่เหมาะสมก็คือการสร้างพื้นที่สำหรับการสานเสวนาระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้งผ่าน
กระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบมีคนกลางซึ่งประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐผู้แทนกลุ่มผู้เรียกร้องและผู้แทนภาควิชาการโดยอาจเป็นการเจรจาเพื่อต่อรอง
( ต่อรองได้ ) เพื่อหาข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาในประเด็นที่ไม่ซับซ้อนนักหรือการเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลาง ( ไกล่เกลี่ย ) ในกรณีที่
คู่ขัดแย้งเห็นว่าทั้งคู่ต่างไม่สามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้โดยลำพังจึงต้องอาศัยการยอมรับความช่วยเหลือจากคนกลางเป็นผู้ช่วยตัดสินใจในปัญหาความ

ขัดแย้งสำหรับกรณีที่ปัญหาความขัดแย้งได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแล้วเช่นการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้งกันด้วยความรุนแรงและก่อให้เกิดความเสียหาย
ในร่างกายและทรัพย์สินแนวทางการจัดการความขัดแย้งอย่างสันติวิธีที่เหมาะสมคือกระบวนการยุติธรรมสมานฉันท์ ( ความยุติธรรมบูรณะ ) ซึ่งเป็น
กระบวนการเยียวยาปัญหาความขัดแย้งโดยให้ความสนใจในการฟื้นฟูแก่เหยื่อและชุมชนที่ตกเป็นเหยื่อมากกว่าการให้คุณค่าเรื่องการลงโทษผู้ทำผิดโดย
ยกระดับความสำคัญของเหยื่อในกระบวนการยุติธรรมให้มากขึ้นรวมทั้งการดึงชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมเรียกร้องให้ผู้ทำผิดแสดงความรับผิดชอบโดยตรง
ต่อบุคคลหรือชุมชนซึ่งเป็นกระบวนการจัดการข้อพิพาทที่มีรากฐานอยู่ในวัฒนธรรมชุมชนดั้งเดิมเช่นการประชุมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในหมู่บ้านการเป็นต้น

บรรเทาและเยียวยาความเสียหายของเหยื่อด้วยจารีตกฎเกณฑ์ในชุมชนหลักการสำคัญที่ให้ความใส่ใจคือเราจะหันหลังให้แก่ " พลังของความเกลียดชัง " ไปสู่ " การสร้างพลังแห่งการแบ่งปันสิ่งดีๆ " ให้แก่กันและกันได้
อย่างไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะแบ่งปันความรักให้มนุษย์ร่วมโลกท่ามกลางความหลากหลายได้อย่างไรเราจะแบ่งปันผลประโยชน์และความต้องการด้าน
ทรัพยากรให้สอดรับกับโลกธรรมที่มีอยู่และดำรงอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2025 I Love Translation. All reserved.

E-mail: