Experimentally, this could be obtai

Experimentally, this could be obtained by growing plants in
two different temperatures, say 1 and 10 °C, for varying
durations from germination and measuring the minimum
®nal leaf number. The relationship shown in Fig. 3B could
be then ®tted to the resulting ®nal leaf numbers for each
temperature, with the assumption that P, and the number of
leaves present in the embryo (three) does not vary with
genotype.
Current models simulate phenological development by
calculating the durations of a sequence of phenophases
between observable states of the mainstem apex (seedling
emergence, double ridges, terminal spikelet, anthesis) in
response to temperature and daylength (Slafer and Rawson,
1994). This description has only a tenuous connection to the
mechanisms of timing of apical stages. However, the
development of the apex can be better decribed as the
sequential appearance of primordia and their later differentiation
into the structures they will become. The present
model has the advantage in that it predicts the duration of
phenophases based on the number and rate of appearance
of primordia, as the timing of anthesis depends on the
number, and rate of appearance of leaves.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

Experimentally นี้สามารถได้รับ โดยการปลูกพืชอุณหภูมิ different สอง พูด 1 และ 10 ° C การแตกต่างกันระยะเวลาการงอกและการวัดต่ำสุด® nal ใบหมายเลข ความสัมพันธ์ที่แสดงใน Fig. 3B สามารถถูกแล้ว ® tted งบ ® nal ใบหมายเลขแต่ละอุณหภูมิ มีสมมติฐานว่า P และจำนวนของใบไม้ที่อยู่ในตัวอ่อน (3) ไม่แตกต่างกันไปด้วยลักษณะทางพันธุกรรมPhenological พัฒนาโดยจำลองรูปแบบปัจจุบันคำนวณระยะเวลาของลำดับของ phenophasesระหว่างรัฐ observable ของ apex mainstem (แหล่งเกิดขึ้น คู่เคลื่อน spikelet เทอร์มินัล anthesis) ในตอบสนองต่ออุณหภูมิและ daylength (Slafer และสอนศาสนา1994) อธิบายได้เฉพาะ tenuous เชื่อมต่อกับการกลไกของช่วงเวลาของระยะที่ปลายยอด อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสุดยอดสามารถ decribed ดีเป็นลักษณะลำดับ primordia และ differentiation ของพวกเขาในภายหลังเป็นโครงสร้างพวกเขาจะกลายเป็น ปัจจุบันรุ่นมีข้อดีในการที่จะทำนายระยะเวลาของphenophases จำนวนและอัตราของลักษณะของ primordia เป็นช่วงเวลาของ anthesis ขึ้นอยู่กับการหมายเลข และอัตราของลักษณะของใบไม้

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การทดลองนี้อาจจะได้รับจากการปลูกพืชในสองดิฉฉอุณหภูมิต่างกันพูดที่ 1 และ 10 องศาเซลเซียสสำหรับที่แตกต่างกันระยะเวลาจากการงอกและการวัดขั้นต่ำจำนวนใบ®nal ความสัมพันธ์ที่แสดงในรูป 3B อาจจะ®ttedแล้วไปยังหมายเลขใบ®nalผลสำหรับแต่ละอุณหภูมิกับสมมติฐานที่ว่าP และจำนวนของใบอยู่ในตัวอ่อน(สาม) ไม่แตกต่างกันกับจีโนไทป์. รุ่นปัจจุบันจำลองพัฒนาการโดยการคำนวณระยะเวลาลำดับของ phenophases ระหว่างรัฐที่สังเกตของยอด mainstem นี้ (ต้นกล้าเกิดขึ้นสันเขาคู่ดอกขั้วดอกบาน) ในการตอบสนองต่ออุณหภูมิและอาศัยช่วงแสง (Slafer และรอว์, 1994) คำอธิบายนี้มีเพียงการเชื่อมต่อที่สำคัญกับกลไกของระยะเวลาของขั้นตอนปลาย อย่างไรก็ตามการพัฒนาของยอดที่สามารถอธิบายไว้ดีในการปรากฏตัวต่อเนื่องของprimordia และต่อมาดิฉฉ erentiation เป็นโครงสร้างที่พวกเขาจะกลายเป็น ปัจจุบันรูปแบบมีความได้เปรียบในการที่จะคาดการณ์ระยะเวลาของphenophases ขึ้นอยู่กับจำนวนและอัตราของการปรากฏตัวของprimordia เป็นระยะเวลาของดอกบานขึ้นอยู่กับจำนวนและอัตราของการปรากฏตัวของใบ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การทดลองนี้อาจจะได้รับโดยการปลูกพืชใน
2 ดิ ff erent อุณหภูมิ , พูด 1 และ 10 °องศาเซลเซียส สำหรับระยะเวลาการงอกและแตกต่างจากวัด

®อย่างน้อยนาล ใบจำนวน ความสัมพันธ์ที่แสดงในรูปที่ 3B จะเป็นแล้ว® tted
จะเป็นผล® Nal ใบตัวเลขสำหรับแต่ละ
อุณหภูมิกับอัสสัมชัญ และจํานวน
Pใบปัจจุบันในตัวอ่อน ( 3 ) ไม่แตกต่างกับรุ่นปัจจุบันด้วย
.

จำลองระยะโดยคำนวณระยะเวลาของลำดับของ phenophases
ระหว่างสังเกตสถานะของ mainstem APEX ( ต้นกล้า
งอกสองสัน ปลายดอกบาน spikelet
, ) ในการตอบสนองต่ออุณหภูมิและช่วงแสง ( และ slafer รอว์สัน
1994 )รายละเอียดนี้มีเพียงบางเบาเชื่อมต่อกับ
กลไกของเวลาเกิดขั้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาของ APEX สามารถจะดีกว่ายาเสพติดให้โทษเป็น
ลักษณะต่อเนื่อง ไพรม ์เดียและต่อมาดิ ff erentiation
เป็นโครงสร้างที่พวกเขาจะกลายเป็น รุ่นปัจจุบัน
มีความได้เปรียบในการที่จะคาดการณ์ระยะเวลา
phenophases ขึ้นอยู่กับจำนวนและอัตราของการปรากฏตัว
ของ ไพรม ์เดีย เป็นจังหวะที่ดอกบาน ขึ้นอยู่กับ
จำนวน อัตราและลักษณะของใบ