บทคัดย่อ
โยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์นมซึ่งผ่านขบวนการหมัก ทำให้มีรสเปรี้ยวและมีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ซึ่งมีต้นกำเนิดแถวเทือกเขาคอเคซัสของรัสเซีย ในโยเกิร์ตจะประกอบด้วยแบคทีเรียหลักๆ 2 ชนิดด้วยกันคือ Streptococcus thermophilus และ Lactobacillus bulgaricus ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้จะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนนมให้เป็นโยเกริ์ต นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการเติมแบคทีเรีย Bifido และ Lactobacillus casei ในโยเกิร์ตเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร
ปัจจุบันมีการผลิตโยเกิร์ตจากนมวัวอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นอาหารสุขภาพที่ได้รับความนิยม จากกลุ่มคนที่รักสุขภาพ สามารถทานได้ทุกวัย เนื่องจากรสชาติที่กลมกล่อมและสรรพคุณมากมาย เช่น มีประโยชน์ต่อลำไส้ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ย่อยง่ายกว่านมทั่วไป เป็นต้น แต่ข้อเสียก็คือ โยเกิร์ตส่วนใหญ่ผลิตมาจากนมวัว ทำให้ผู้ที่แพ้นมวัวไม่สามารถทานได้ รวมไปถึงนมวัวย่อยสลายยาก ถึงแม้ว่าการนำนมวัวมาทำเป็นโยเกิร์ตแล้วก็ตาม ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับสารอาหารเท่าที่ควร
มีการนำนมแพะมาบริโภคกันตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ซึ่งเชื่อว่าโปรตีนในนมแพะช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างภูมิต้านทานในร่างกายให้ดีขึ้น โดยพบว่ามีคนป่วยจำนวนมาก ฟื้นจากอาการป่วยได้เร็วจากการดื่มนมแพะ เนื่องจากนมแพะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีขนาดเม็ดไขมันที่เล็ก จึงสามารถย่อยได้ง่าย หลังจากดื่มนมไปเพียงประมาณ 20 นาที ร่างกายก็สามารถย่อยและดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ทันที ปัจจุบันนมแพะได้รับความนิยมนำมาเลี้ยงดูเด็กทารก จากการศึกษาวิจัยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างนมแพะผงกับนมแม่ นมแพะถือว่ามีคุณสมบัติใกล้เคียงกับนมแม่มากที่สุด (ธวัชชัย อรุณเรืองรัศมี ,2553)
จากการศึกษาพบว่า ในการเตรียมทำโยเกิร์ตจากนมแพะสามารถเตรียมได้โดยการผสมระหว่างหัวเชื้อโยเกิร์ตที่ทำหน้าที่เป็นตัวผสานกับนมแพะสดเข้าด้วยกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากการศึกษาพบว่าสัดส่วนที่ทำให้โยเกิร์ตมีการผสมกันได้ดีไม่จับตัวแป็นก้อนมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้ โยเกิร์ตหัวเชื้อต่อนมแพะสดในอัตราส่วน 7.3 : 53.3 ตามลำดับ และสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานเป็นระยะเวลา 2สัปดาห์
และเมื่อโยเกิร์ตดังกล่าวที่ได้ไปทดสอบในด้านการเก็บรักษาคุณภาพในตู้เย็น พบว่าให้ผลอย่างเป็นนัยสำคัญ ทั้งนี้เนื่องมาจากหัวเชื้อโยเกิร์ตสามารถผสานกับอนุภาคของนมแพะได้ดี และการเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม
ในการวิจัยครั้งนี้คณะผู้จัดทำจึงได้เสนอโครงการ “การพัฒนาการทำโยเกิร์ตจากนมแพะ” ซึ่งเป็นการศึกษาโดยการทำโยเกิร์ตจากนมแพะแทนการใช้นมวัว โดยจุดเด่นของโยเกิร์ตจากนมแพะคือสามารถใช้เลี้ยงทารกได้ดีเพราะในด้านของคุณค่าทางอาหารนั้นสูงเทียบเท่ากับนมคนมากที่สุด นมแพะ มีเอ็นไซน์วิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยปรับระดับไขมันในเลือด ย่อยง่าย ไม่สะสมในร่างกายเพราะเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นส่วนใหญ่ ทั้งแบบสายโซ่กลางและสั้น ซึ่งเป็นกรดไขมันหลักที่มีประโยชน์ต่อคน ได้แก่ กรดคาโพรอิค กรดคาพรีอิก และกรดคาพริก ซึ่งวงการแพทย์ได้ให้ความสนใจ กรดคาพรีอิกและกรดคาโพรอิก ในสรรพคุณที่ว่า ช่วยในการการรักษาโรคที่เกี่ยวกับการดูดซึมของอาหารได้ เช่น โรคภาวการณ์ดูดซึมสารอาหารบกพร่อง โรคกระเพาะอาหาร และ ลดภาวการณ์อักเสบของแผลในกระเพาะอาหารได้ การดื่มนมแพะเป็นประจำสามารถบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ลงและหายไปในที่สุด ซึ่งเป็นคำยืนยันจากผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้แล้วหันมาทานนมแพะ อีกทั้งยังช่วยสลายการสะสมโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยปรับระดับไขมันในเส้นเลือดให้เลือดหมุนเวียนได้สะดวก ทำให้ลดภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย