Regarding preferences for activatio

Regarding preferences for activation, we hypothesized that the effect would become stronger
with increasing skill levels because high-skilled outsiders should have particularly strong
incentives to favor investment in human capital and jobs: what they want first and foremost is
an opportunity to work. Hypothesis 2a is fully confirmed by the data: Model 4 indicates a
positive and significant interaction effect for activation preferences. Figure 2 shows that the
higher the educational level, the stronger labor market vulnerability affects preferences for activation.
The predicted probabilities substantiate this finding: the likelihood of an individual
with the highest degree of outsiderness and tertiary education to strongly support activation (a
score of 7 or more on a scale from 0 to 10) is 52%, while the same individual exposed to the
lowest degree of labor market vulnerability has only a 36.3% chance to strongly support activation.
The difference between a low-skilled individual with highest and lowest degree of
labor market vulnerability is around 15.9 percentage points.
To reiterate, we expect preferences for social insurance to be particularly strong among highskilled
insiders (H2c). Although social insurance is relatively unattractive for all low-skilled in
account of their inherently low contributions, the higher the human capital of a respondent, the
stronger we expect the marginal effect of vulnerability to be. We therefore expect the insider/
outsider divide to widen with increasing levels of education. Figure 2 confirms this interaction
effect graphically. The results corroborate our theoretical reasoning: high-skilled insiders
support the equivalence principle more strongly than high-skilled outsiders. A high-skilled
insider (lowest degree of outsiderness) has a likelihood of 81.9% of agreeing that individuals
with higher contribution records should receive larger old-age pension benefits. For the same
individual being an outsider (highest degree of labor market vulnerability), this probability is
15 percentage points lower.
To conclude our analysis,we examine the relative impact of education and labor market vulnerability
on social policy preferences. Table 5 reports the predicted probabilities of an average
individual at lowest (primary education or less) and highest (tertiary education) level of education
to support each of the three distributive principles, compared with the same individual at
minimum and maximum values of labor market vulnerability.We find that differences between
lowand highly educated respondents are much smaller than differences between individuals with the lowest and highest value of outsiderness with regard to all three social policy preferences. The
importance of labor market vulnerability for social policy preferences is striking: differences in
predicted probabilities between individuals with highest and lowest values of labor market vulnerability
are around 16 percentage points, and differences between individuals with highest and
lowest levels of education range between 8.4 and 13.1 percentage points. The same analyses calculated
for different model specifications of the average individual (different countries, men
instead of women and different ages) lead to the same conclusion that the degree of labor
market vulnerability is more important for social policy preferences than the level of education

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เกี่ยวกับการตั้งค่าเพื่อเปิดใช้งาน เราตั้งสมมติฐานว่าผลจะกลายเป็นดีกับระดับทักษะที่เพิ่มขึ้นเนื่องจาก ฝีมือบุคคลภายนอกควรมีโดยเฉพาะอย่างยิ่งแข็งแกร่งแรงจูงใจการลงทุนในทุนมนุษย์และการงาน: สิ่งที่ต้องการแรกคือมีโอกาสทำงาน สมมติฐาน 2a เต็มได้รับการยืนยัน โดยข้อมูล: บ่งชี้ว่า รุ่น 4 เป็นผลบวก และมีนัยสำคัญการโต้ตอบสำหรับการเปิดใช้งานการตั้งค่า รูปที่ 2 แสดงให้เห็นว่าการสูงกว่าระดับการศึกษา ช่องโหว่ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งมีผลต่อการกำหนดลักษณะสำหรับการเปิดใช้งานค้นพบนี้ยืนยันน่าจะคาดการณ์: โอกาสของแต่ละบุคคลด้วยระดับการศึกษา outsiderness และตติยเพื่อขอสนับสนุนการเปิดใช้งาน (แบบคะแนน 7 หรือมากกว่า บนสเกลจาก 0 ถึง 10) คือ 52% ในขณะเดียวกันบุคคลที่สัมผัสกับการช่องโหว่ของตลาดแรงงานในระดับต่ำสุดได้เท่าดิจิตอล 36.3% โอกาสในการขอสนับสนุนการเปิดใช้งานความแตกต่างระหว่างบุคคลมีทักษะต่ำมีระดับสูงสุด และต่ำสุดของช่องโหว่ของตลาดแรงงานเป็นจุดเปอร์เซ็นต์ประมาณ 15.9สำทับ เราคาดว่าการกำหนดลักษณะสำหรับประกันสังคมอย่างแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ highskilledคนวงใน (H2c) แม้ว่าประกันสังคมจะค่อนข้างขี้เหร่ทั้งหมดต่ำมีทักษะในบัญชีของเงินสมทบประมาณต่ำของพวกเขา ทุนมนุษย์สูงกว่าของผู้ตอบ การเราคาดว่าผลกำไรเบื้องต้นของช่องโหว่จะแข็ง เราจึงคาดหวังข้อมูล /หารบุคคลภายนอกเพื่อขยาย ด้วยการเพิ่มระดับของการศึกษา รูปที่ 2 ยืนยันการโต้ตอบนี้ผลภาพกราฟิก ผล corroborate ของเราเหตุผลทางทฤษฎี: ฝีมือบุคคลภายในสนับสนุนหลักการสมมูลขอถึงฝีมือ ความชำนาญสูงภายใน (ระดับต่ำสุดของ outsiderness) มีโอกาสของ 81.9% ยอมรับว่า บุคคลด้วยส่วนสูง ระเบียนควรได้รับผลประโยชน์เงินบำนาญยุคเก่าขนาดใหญ่ สำหรับเดียวกันแต่ละคนเป็นบุคคลภายนอก (สูงสุดระดับของช่องโหว่ของตลาดแรงงาน), นี้น่าจะเป็น15 เปอร์เซ็นต์คะแนนต่ำเราตรวจสอบผลกระทบสัมพัทธ์ของการศึกษาและช่องโหว่ของตลาดแรงงานเพื่อสรุปวิเคราะห์ในการตั้งค่านโยบายสังคม ตาราง 5 รายงานน่าจะคาดการณ์เฉลี่ยของแต่ละตัวที่ต่ำที่สุด (การศึกษาประถมศึกษา หรือน้อยกว่า) และสูงสุด (พรรคประชาธิปัตย์) ระดับการศึกษาเพื่อสนับสนุนการแจกแจงหลักสาม เปรียบเทียบกับบุคคลเดียวกันที่ค่าต่ำสุด และสูงสุดของช่องโหว่ของตลาดแรงงาน เราหาที่ความแตกต่างระหว่างผู้ตอบ lowand จบศึกษามีขนาดเล็กกว่าความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีค่าต่ำสุด และสูงที่สุดของ outsiderness เกี่ยวข้องกับการกำหนดลักษณะนโยบายสังคมทั้งสาม การความสำคัญของช่องโหว่ของตลาดแรงงานสำหรับการกำหนดลักษณะของนโยบายทางสังคมโดดเด่น: ความแตกต่างในคาดการณ์น่าจะระหว่างบุคคลที่มีค่าสูงสุด และต่ำสุดของช่องโหว่ของตลาดแรงงานมีจุดประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ และความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีสูงที่สุด และระดับต่ำสุดของการศึกษาช่วงระหว่างร้อยละ 8.4 และ 13.1 จุด การคำนวณการวิเคราะห์เดียวกันข้อมูลจำเพาะของโมเดลแตกต่างกันของแต่ละบุคคลโดยเฉลี่ย (ประเทศ ผู้ชายแทนผู้หญิงและต่างวัย) นำไปสู่ข้อสรุปเดียวกันที่ระดับของแรงงาน ช่องโหว่ของตลาดเป็นสำคัญสำหรับการกำหนดลักษณะของนโยบายทางสังคมมากกว่าระดับการศึกษา

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เกี่ยวกับการตั้งค่าสำหรับการเปิดใช้เราตั้งสมมติฐานว่าผลที่ออกมาจะกลายเป็นที่แข็งแกร่ง
ด้วยการเพิ่มระดับความสามารถเพราะบุคคลภายนอกที่มีทักษะสูงควรจะมีความแข็งแกร่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การสร้างแรงจูงใจที่จะสนับสนุนการลงทุนในทุนมนุษย์และการจ้างงาน: สิ่งที่พวกเขาต้องการที่แรกและสำคัญที่สุดคือ
โอกาสในการทำงาน สมมติฐาน 2a ได้รับการยืนยันอย่างเต็มที่โดยข้อมูล: รุ่น 4 บ่งชี้ว่ามี
ผลกระทบต่อการทำงานร่วมกันในเชิงบวกและมีความสำคัญสำหรับการตั้งค่าเปิดใช้งาน รูปที่ 2 แสดงให้เห็นว่า
สูงกว่าระดับการศึกษาช่องโหว่ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งส่งผลกระทบต่อการตั้งค่าสำหรับการเปิดใช้.
ความน่าจะเป็นที่คาดการณ์ยืนยันการค้นพบนี้: โอกาสของแต่ละคน
ที่มีระดับสูงสุดของ outsiderness และการศึกษาในระดับอุดมศึกษาเพื่อขอสนับสนุนการเปิดใช้งาน (เป็น
คะแนนจาก 7 หรือมากกว่าโย 0-10) เป็น 52% ในขณะที่บุคคลคนเดียวกันสัมผัสกับ
ระดับต่ำสุดของช่องโหว่ตลาดแรงงานมีเพียงโอกาส 36.3% ที่จะขอสนับสนุนการเปิดใช้งาน.
ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีทักษะต่ำกับต่ำสุดสูงสุดและ ระดับของ
ช่องโหว่ตลาดแรงงานอยู่ที่ประมาณ 15.9 คะแนนร้อยละ.
ย้ำเราคาดว่าการตั้งค่าสำหรับการประกันสังคมให้แข็งแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ highskilled
ภายใน (H2c) ถึงแม้ว่าการประกันสังคมค่อนข้างขี้เหร่ทั้งหมดที่มีทักษะต่ำใน
บัญชีของผลงานของพวกเขาโดยเนื้อแท้ต่ำที่สูงกว่าทุนมนุษย์ของผู้ตอบแบบสอบถามให้
แข็งแกร่งเราคาดว่าผลกระทบที่ขอบของช่องโหว่ที่จะเป็น ดังนั้นเราจึงคาดว่าภายใน /
แบ่งคนนอกที่จะขยายกับระดับที่เพิ่มขึ้นของการศึกษา รูปที่ 2 ยืนยันการปฏิสัมพันธ์นี้
ผลกราฟิก ผลการยืนยันการให้เหตุผลทางทฤษฎีของเรา: ภายในที่มีทักษะสูง
สนับสนุนหลักความเท่าเทียมมากขึ้นยิ่งกว่าบุคคลภายนอกที่มีทักษะสูง สูงที่มีทักษะ
ภายใน (ระดับต่ำสุดของ outsiderness) มีโอกาสในการ 81.9% ของยอมรับว่าบุคคล
ที่มีประวัติผลงานที่สูงขึ้นควรจะได้รับผลประโยชน์เงินบำนาญชราภาพที่มีขนาดใหญ่ สำหรับเดียวกัน
ของแต่ละบุคคลเป็นคนนอก (ระดับสูงสุดของช่องโหว่ตลาดแรงงาน) นี้น่าจะเป็น
15 คะแนนร้อยละต่ำกว่า.
เพื่อสรุปการวิเคราะห์ของเราเราตรวจสอบผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของการศึกษาและตลาดแรงงานช่องโหว่
กับการตั้งค่านโยบายทางสังคม ตารางที่ 5 รายงานความน่าจะเป็นที่คาดการณ์ของค่าเฉลี่ย
ของแต่ละบุคคลที่ต่ำสุด (การศึกษาประถมศึกษาหรือน้อยกว่า) และสูงสุด (ระดับอุดมศึกษา) ระดับการศึกษา
เพื่อสนับสนุนแต่ละสามหลักการจำหน่ายเมื่อเทียบกับบุคคลคนเดียวกันที่
ค่าต่ำสุดและสูงสุดของช่องโหว่ตลาดแรงงาน เราพบว่าความแตกต่างระหว่าง
ผู้ตอบแบบสอบถาม lowand การศึกษาสูงมีขนาดเล็กกว่าความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีค่าต่ำสุดและสูงสุดของ outsiderness เกี่ยวกับการทั้งสามการตั้งค่านโยบายทางสังคม
ความสำคัญของช่องโหว่ตลาดแรงงานสำหรับการตั้งค่านโยบายทางสังคมเป็นที่โดดเด่น: ความแตกต่างใน
ความน่าจะเป็นที่คาดการณ์ระหว่างบุคคลที่มีสูงสุดและค่าต่ำสุดของช่องโหว่ตลาดแรงงาน
อยู่ที่ประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์และความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีความสูงและ
ระดับต่ำสุดของช่วงการศึกษาระหว่าง 8.4 และ 13.1 คะแนนร้อยละ การวิเคราะห์เดียวกันคำนวณ
สำหรับรายละเอียดที่แตกต่างกันรูปแบบของแต่ละเฉลี่ย (ประเทศที่แตกต่างกันคน
แทนของผู้หญิงและทุกเพศทุกวัยที่แตกต่างกัน) นำไปสู่ข้อสรุปเดียวกันว่าระดับของแรงงาน
ช่องโหว่ตลาดเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการตั้งค่านโยบายทางสังคมกว่าระดับของการศึกษา

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เกี่ยวกับการตั้งค่าสำหรับการเปิดใช้งาน เราตั้งสมมุติฐานว่าผลจะแข็งแกร่งขึ้นกับการเพิ่มระดับทักษะ เพราะคนนอกที่มีฝีมือสูงควรมีความแข็งแรงโดยเฉพาะเราชอบการลงทุนในงานทรัพยากรมนุษย์ และสิ่งที่พวกเขาต้องการ แรกและสำคัญที่สุดคือโอกาสที่จะทำงาน 2A สมมติฐานอย่างเต็มที่ยืนยัน โดยข้อมูลบ่งชี้ว่า รุ่น 4บวกและปฏิสัมพันธ์ที่สำคัญสำหรับการเปิดใช้งาน รูปที่ 2 แสดงให้เห็นว่าสูงกว่าระดับการศึกษา แข็งแกร่งตลาดแรงงานช่องโหว่มีผลต่อการตั้งค่าเพื่อเปิดใช้งานคาดการณ์ความน่าจะเป็นพิสูจน์ค้นหานี้ : โอกาสของแต่ละคนที่มีระดับสูงสุดของ outsiderness และระดับอุดมศึกษาเพื่อขอสนับสนุนการเปิดใช้งาน ( เป็นคะแนนของ 7 หรือมากกว่าบนสเกลจาก 0 ถึง 10 ) เป็น 52 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่สัมผัสกับบุคคลเดียวกันระดับต่ำสุดของความอ่อนแอของตลาดแรงงานมี 36.3 % โอกาสที่จะขอสนับสนุนการเปิดใช้งานความแตกต่างระหว่างบุคคลทักษะต่ำที่มีมากที่สุดและน้อยที่สุด .ความอ่อนแอของตลาดแรงงานประมาณ 15.9 เปอร์เซ็นต์ย้ำ เราคาดว่าการตั้งค่าสำหรับการประกันสังคมให้เข้มแข็งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ highskilledภายใน ( h2c ) แม้ว่าการประกันสังคมค่อนข้างขี้เหร่ทั้งหมดต่ำที่มีทักษะในบัญชีต่ำของพวกเขาโดยเนื้อแท้การเขียน สูงกว่าทุนมนุษย์ของผู้ตอบ ,แข็งแกร่ง เราคาดว่าผลกระทบต่อของความเสี่ยงเป็น เราจึงคาดว่าภายใน /คนนอกแบ่งให้กับการเพิ่มระดับของการศึกษา รูปที่ 2 แสดงการโต้ตอบนี้ผลกราฟิก ผลยืนยันเหตุผลทางทฤษฎีของเรา : ภายในที่มีทักษะสูงสนับสนุนความเท่าเทียมกันหลักการได้ดีกว่าคนนอกที่มีฝีมือสูง มีทักษะสูงภายใน ( ระดับต่ำสุดของ outsiderness ) มีโอกาส 81.9 % ยอมรับว่า บุคคลกับผลงานที่บันทึกสูงควรได้รับเงินบำนาญสำหรับผู้เกษียณที่มีประโยชน์ สำหรับเดียวกันบุคคลเป็นคนนอก ( ระดับสูงสุดของตลาดกลุ่มแรงงาน ) ความน่าจะเป็นนี้15 คะแนนร้อยละที่ลดลงสรุปการวิเคราะห์ของเรา เราศึกษาผลกระทบสัมพัทธ์ของการศึกษาแรงงานและความเสี่ยงตลาดในการตั้งค่านโยบายสังคม ตารางที่ 5 รายงานคาดการณ์ความน่าจะเป็นเฉลี่ยแต่ละตัวที่ถูกที่สุด ( ระดับประถมศึกษา หรือน้อยกว่า ) และสูงสุด ( ระดับอุดมศึกษา ) ระดับการศึกษาสนับสนุนทั้งสามหลักการกระจายเมื่อเทียบกับบุคคลเดียวกันค่าต่ำสุดและสูงสุดของตลาดแรงงาน ความอ่อนแอ เราพบว่า ความแตกต่างระหว่างlowand ขอศึกษา กลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็กกว่าความแตกต่างระหว่างบุคคลกับต่ำสุดและสูงสุดของ outsiderness เกี่ยวกับนโยบายสังคมทั้งหมดสามการตั้งค่า ที่ความสำคัญของตลาดแรงงานช่องโหว่สำหรับการตั้งค่านโยบายทางสังคมที่โดดเด่น : ความแตกต่างในคาดการณ์ความน่าจะเป็นระหว่างบุคคลที่มีสูงสุด และค่าต่ำสุดของตลาดแรงงาน ช่องโหว่ประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ และความแตกต่างระหว่างบุคคล กับ สูงสุด และระดับต่ำสุดของช่วงระหว่างการศึกษา 8.4 และ 13.1 เปอร์เซ็นต์ แบบวิเคราะห์คำนวณสำหรับรูปแบบที่แตกต่างกันคุณสมบัติของแต่ละประเทศแตกต่างกัน คน ( เฉลี่ยแทนของหญิงต่างวัย ) นำไปสู่ข้อสรุปเดียวกันว่าระดับของแรงงานความเสี่ยงตลาดสำคัญสำหรับการตั้งค่านโยบายทางสังคมสูงกว่าระดับการศึกษา