ประเพณีแห่ปราสาทผึ้งการแห่งปราสาทผึ้ง เป็นประเพณีโบราณอีสาน มุ่งทำเป็น การแปล - ประเพณีแห่ปราสาทผึ้งการแห่งปราสาทผึ้ง เป็นประเพณีโบราณอีสาน มุ่งทำเป็น ไทย วิธีการพูด

ประเพณีแห่ปราสาทผึ้งการแห่งปราสาทผึ

ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง
การแห่งปราสาทผึ้ง เป็นประเพณีโบราณอีสาน มุ่งทำเป็นพุทธบูชา หรือเกี่ยวข้อง กับความเชื่อทางศาสนา คำว่า "ปราสาทผึ้ง" ในภาษาอีสานจะออกเสียง "ผาสาทเผิ่ง"
ความเชื่อเรื่องการแห่ปราสาทผึ้ง เกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมทางพุทธศาสนา โดยเริ่ม พิธีกรรมนี้ ในภาคอีสาน ตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ในตำนาน เรื่องหนองหาน (สกลนคร) กล่าวไว้ว่า ในสมัยขอมเรืองอำนาจ และครองเมืองหนองหานในแผ่นดินพระเจ้าสุวรรณภิงคาราช ได้โปรดให้ ข้าราชบริพารทำต้นผึ้งหรือปราสาทผึ้งในวันออกพรรษา เพื่อห่คบงันที่วัดเชิงชุม (วัดมหาธาตุเชิงชุมวรวิหาร) จากนั้นเมืองหนองหานได้จัดวันปราสาทผึ้ง ติดต่อกันมาทุกปี

การตกแต่งปราสาทผึ้ง
ความเชื่อในประเพณีการแห่ปราสาทผึ้งนั้น มีรากฐานของความเชื่อ ที่เนื่องมาจากความเชื่อในพุทธศาสนา ความเชื่อในเรื่องภูตผีวิญญาณ และความเชื่อ ในศาสนาพราหมณ์ กล่าวคือ
ความเชื่อที่เนื่องในพุทธศาสนา ถือเป็นปรัชญานำมาสู่การสร้างปราสาทผึ้งนั้น มีที่มาจากเรื่องราวพุทธประวัติ ซึ่งมีปรากฏในเหตุการณ์ที่สำคัญคือ เหตุการณ์ตอนที่ พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่ป่าปาเลไลยก์ ได้พบช้างและลิงที่มาทำหน้าที่ เป็นอุปัฏฐาก โดยเฉพาะลิงนั้น ได้นำรวงผึ้งมาถวายแด่พระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธเจ้า รับรวงผึ้งนั้นไปแัน ทำให้ลิงกระโดดด้วยความดีใจ จนพลาด ตกจากต้นลงมาตาย ด้วยอานิสงส์ที่ลิงได้ถวายรวงผึ้งแดพระพุทธองค์ (จากการ ที่ผู้จัดทำได้ศึกษาเรื่องนี้ ก็ไม่ปรากฏว่าลิงพลาดตกต้นไม้แต่ประการใด ไม่ทราบว่า คงมีใครเอามาเล่าต่อ ๆ กันมา) ทำให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเหตุการณ์ ตอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ขณะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายหลังจากที่เสด็จไปจำพรรษา เทศนาโปรดพระพุทธมารดา และเหล่าเทวดา ด้วยการเปิดโลกทั้งสาม คือ สวรรคภูมิ มนุษยภูมิ และนรกภูมิ ได้เห็นซึ่งกันและกัน โดยตลอด ซึ่งเรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่า เทโวโรหนปริวัตต์ ทำให้ผู้คนเห็น ความแตกต่าง ของความสะดวกสบายบนสวรรคภูมิ และความยากลำบากในนรกภูมิ ด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้พุทธศาสนิกชน ได้คิดสร้างอาคารศาสนสถาน ถวายเป็น พุทธบูชาด้วยหวังให้เป็นอานิสงส์เพื่อที่จะได้ไปเกิดบนสวรรค์

ปราสาทผึ้ง แต่งเป็นทรงบุษบก ปราสาทผึ้ง แต่งเป็น พระบรมมหาราชวัง ปราสาทผึ้ง อันสวยสดงดงาม
ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้งจาเรื่องไตรภูมิพระร่วง ในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสอนที่มีปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนา ที่ว่าด้วยการที่มนุษย์ต้องเวียนว่าย ตายเกิดในโลกภูมิต่าง ๆ ตามที่ได้ประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่วไว้ โดยเฉพาะ ความเชื่อที่ว่า ผู้ที่ประกอบกรรมดีจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ภูมิชั้นต่าง ๆ ที่มีวิมาน ปราสาทเป็นเรือนที่อยู่อาศัย
ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้งจากเรื่องราวที่ปรากฏในคัมภีร์ มาเลยยเทวัตเถรวัตถุ (เป็นของพระลังกาแต่ง) ที่ได้กล่าวถึงพระมาลัยอรหันต์ ซึ่งเป็นพุทธสาวกองค์หนึ่ง (ไม่ใช่สาวกที่เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า แต่เป็นสาวก รุ่นหลัง เหมือนพระนาคเสน และเป็นพระลังกา) ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เคย ไปเทศนาโปรดสัตว์ในนรกภูมิ (ความจริงแล้ว สัตว์นรกไม่สามารถฟังธรรมได้ เพราะอำนาจบาปกรรมที่ทำไว้ ไม่มีปัญญาที่จะรับรู้หรือเข้าใจธรรมได้) และได้เสด็จ ขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อไหว้องค์พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย์ (ในตำราทางพุทธ เถรวาท เรียกว่า "พระเมตไตยะ" ที่จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาล หลังจากนั้น พระมาลัยอรหันต์ ได้เทศนาโปรดแก่พุทธศาสนิกชน เพื่อให้ทราบถึงวิธีการสร้างบุญกุศล เพื่อที่จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ รวมทั้งการสร้าง อาคารศาสนสถานถวายเป็นพุทธบูชานั้นเป็นหนทางหนึ่ง ที่เป็นอานิสงส์ นำพาให้ได้ ไปเกิดในบนสวรรค์ มีวิมานเป็นที่อยู่อาศัย และมีเหล่านางฟ้าเป็นบริวารด้วย
ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้ง จากเรื่องการประกอบพิธีพลีดวงวิญญาณ หรือพิธีกงเต็กตามคติในพุทธศาสนามหายาน ด้วยการจัดทำสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ตลอดจนการสร้างบ้านเรือนด้วยกระดาษ ในลักษณะของสิ่งของเครื่องใช้ และบ้านจำลอง แล้วนำมาเผาอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ผู้ล่วงลับ ได้นำไปใช้อยู่อาศัยในโลกหน้าต่อไป
ความเชื่อที่เนื่องในภูตผีวิญญาณ เป็นความเชื่อพื้นบ้านที่ทำให้ชาวอีสาน ถือเป็น ปรัชญาคติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทผึ้ง คือ ความเชื่อที่ว่า คนที่ตายไป แล้ว ดวงวิญญาณ (ทางพุทธเรียกว่า "โอปปาติกะ = สัตว์จำพวกหนึ่ง ที่ผุดเกิดขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เช่น เทวดา สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มนุษย์ต้นกัลป์ ฯลฯ เรียกง่าย ๆ ว่า กายทิพย์") ก็ยังต้องการสิ่งต่าง ๆ เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต้องการที่อยู่อาศัย ทำให้มีการประกอบพิธีเซ่นสรวง ดวงวิญญาณ ตลอดจนการสร้างเรือนจำลองในลักษณะของศาลหรือหอผี (อีสาน ก็ทำเหมือนจีน คือ เอาไม้ไผ่มาทำเป็นโครงบ้าน แล้วปะด้วยกระดาษ) เพื่ออุทิศ ให้เป็นที่สิงสถิตแก่ดวงวิญญาณด้วย จากความเชื่อดังกล่าว จึงเป็นแนวคิดส่วนหนึ่ง ที่ปรับเข้ากับการสร้างปราสาทผึ้ง ซึ่งมีลักษณะเป็นอาคารจำลอง เพื่ออุทิศส่วนกุศล จากการสร้างปราสาทผึ้งแก่ดวงวิญญาณบรรพบุึรุษ หรือเจ้ากรรมนายเวรผู้ล่วงลับ
ความเชื่อที่เนื่องในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่เกี่ยวกับความนิยม ในการสร้างปราสาทหินหรือเทวาลัย ให้เป็นอาคารเทวสถาน ที่เชื่อว่าเป็นวิมาน ที่ประทับของเทพเจ้าสำคัญในศาสนาพราหมณ์ เช่น พระอิศวร พระนารายณ์ โดยเชื่อว่า การสร้างเทวาลัยอุทิศถวายแด่เทพเจ้านั้น เป็นอานิสงส์อย่างสูงสุด และยังเชื่อว่าอานิสงส์ของผู้ที่สร้างเทวาลัยอุทิศถวายนั้น จะส่งผลให้ชีวิตหลัง ความตาย คือดวงวิญญาณจะได้เข้าไปรวมกับองค์เทพเจ้า ที่ประดิษฐาน อยู่ในอาคารเทวาลัย ที่ได้สร้างไว้



ปราสาทผึ้ง แบ่งตามลักษณะรูปทรง ได้เป็นสี่แบบ คือ

ขบวนแห่งปราสาทผึ้ง
ปราสาทผึ้งทรงพระธาตุ ลักษณะรูปแบบโดยส่วนรวม คล้ายกับองค์พระสถูปเจดีย์ หรือพระธาตุที่มีปรากฏ ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คือ เป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยม หรือบางทีเรียกว่า เจดีย์ทรง ดอกบัวเหลี่ยม เช่น พระธาตุพนม พระเชิงชุม พระธาตุ ศรีสองรักษ์ พระธาตุบังพวน ฯล
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
ประเพณีแห่ปราสาทผึ้งการแห่งปราสาทผึ้งเป็นประเพณีโบราณอีสานมุ่งทำเป็นพุทธบูชาหรือเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาคำว่า "ปราสาทผึ้ง" ในภาษาอีสานจะออกเสียง "ผาสาทเผิ่ง"ความเชื่อเรื่องการแห่ปราสาทผึ้งเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาโดยเริ่มพิธีกรรมนี้ในภาคอีสานตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดในตำนานเรื่องหนองหาน (สกลนคร) กล่าวไว้ว่าในสมัยขอมเรืองอำนาจและครองเมืองหนองหานในแผ่นดินพระเจ้าสุวรรณภิงคาราชได้โปรดให้ข้าราชบริพารทำต้นผึ้งหรือปราสาทผึ้งในวันออกพรรษาเพื่อห่คบงันที่วัดเชิงชุม (วัดมหาธาตุเชิงชุมวรวิหาร) จากนั้นเมืองหนองหานได้จัดวันปราสาทผึ้งติดต่อกันมาทุกปี การตกแต่งปราสาทผึ้งความเชื่อในประเพณีการแห่ปราสาทผึ้งนั้นมีรากฐานของความเชื่อที่เนื่องมาจากความเชื่อในพุทธศาสนาความเชื่อในเรื่องภูตผีวิญญาณและความเชื่อในศาสนาพราหมณ์กล่าวคือความเชื่อที่เนื่องในพุทธศาสนาถือเป็นปรัชญานำมาสู่การสร้างปราสาทผึ้งนั้นมีที่มาจากเรื่องราวพุทธประวัติซึ่งมีปรากฏในเหตุการณ์ที่สำคัญคือเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่ป่าปาเลไลยก์ได้พบช้างและลิงที่มาทำหน้าที่เป็นอุปัฏฐากโดยเฉพาะลิงนั้นได้นำรวงผึ้งมาถวายแด่พระพุทธองค์เมื่อพระพุทธเจ้ารับรวงผึ้งนั้นไปแันทำให้ลิงกระโดดด้วยความดีใจจนพลาดตกจากต้นลงมาตายด้วยอานิสงส์ที่ลิงได้ถวายรวงผึ้งแดพระพุทธองค์ (จากการที่ผู้จัดทำได้ศึกษาเรื่องนี้ก็ไม่ปรากฏว่าลิงพลาดตกต้นไม้แต่ประการใดไม่ทราบว่าคงมีใครเอามาเล่าต่อๆ กันมา) ทำให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ขณะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ภายหลังจากที่เสด็จไปจำพรรษาเทศนาโปรดพระพุทธมารดาและเหล่าเทวดาด้วยการเปิดโลกทั้งสามคือสวรรคภูมิมนุษยภูมิและนรกภูมิได้เห็นซึ่งกันและกันโดยตลอดซึ่งเรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่าเทโวโรหนปริวัตต์ทำให้ผู้คนเห็นความแตกต่างของความสะดวกสบายบนสวรรคภูมิและความยากลำบากในนรกภูมิด้วยเหตุดังกล่าวทำให้พุทธศาสนิกชนได้คิดสร้างอาคารศาสนสถานถวายเป็นพุทธบูชาด้วยหวังให้เป็นอานิสงส์เพื่อที่จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ ปราสาทผึ้งแต่งเป็นทรงบุษบกปราสาทผึ้งแต่งเป็นพระบรมมหาราชวังปราสาทผึ้งอันสวยสดงดงามส่วนความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้งจาเรื่องไตรภูมิพระร่วงในพุทธศาสนาซึ่งเป็นคำสอนที่มีปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาที่ว่าด้วยการที่มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลกภูมิต่างๆ ตามที่ได้ประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่วไว้โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าผู้ที่ประกอบกรรมดีจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ภูมิชั้นต่างๆ ที่มีวิมานปราสาทเป็นเรือนที่อยู่อาศัยความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้งจากเรื่องราวที่ปรากฏในคัมภีร์มาเลยยเทวัตเถรวัตถุ (เป็นของพระลังกาแต่ง) ที่ได้กล่าวถึงพระมาลัยอรหันต์ซึ่งเป็นพุทธสาวกองค์หนึ่ง (ไม่ใช่สาวกที่เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าแต่เป็นสาวกรุ่นหลังเหมือนพระนาคเสน และเป็นพระลังกา) ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เคยไปเทศนาโปรดสัตว์ในนรกภูมิ (ความจริงแล้วสัตว์นรกไม่สามารถฟังธรรมได้เพราะอำนาจบาปกรรมที่ทำไว้ไม่มีปัญญาที่จะรับรู้หรือเข้าใจธรรมได้) และได้เสด็จขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อไหว้องค์พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย์ (ในตำราทางพุทธเถรวาทเรียกว่า "พระเมตไตยะ" ที่จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลหลังจากนั้นพระมาลัยอรหันต์ได้เทศนาโปรดแก่พุทธศาสนิกชนเพื่อให้ทราบถึงวิธีการสร้างบุญกุศลเพื่อที่จะได้ไปเกิดบนสวรรค์รวมทั้งการสร้างอาคารศาสนสถานถวายเป็นพุทธบูชานั้นเป็นหนทางหนึ่งที่เป็นอานิสงส์นำพาให้ได้ไปเกิดในบนสวรรค์มีวิมานเป็นที่อยู่อาศัยและมีเหล่านางฟ้าเป็นบริวารด้วยความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้งจากเรื่องการประกอบพิธีพลีดวงวิญญาณหรือพิธีกงเต็กตามคติในพุทธศาสนามหายานด้วยการจัดทำสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ตลอดจนการสร้างบ้านเรือนด้วยกระดาษในลักษณะของสิ่งของเครื่องใช้และบ้านจำลองแล้วนำมาเผาอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษผู้ล่วงลับได้นำไปใช้อยู่อาศัยในโลกหน้าต่อไปความเชื่อที่เนื่องในภูตผีวิญญาณ เป็นความเชื่อพื้นบ้านที่ทำให้ชาวอีสาน ถือเป็น ปรัชญาคติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทผึ้ง คือ ความเชื่อที่ว่า คนที่ตายไป แล้ว ดวงวิญญาณ (ทางพุทธเรียกว่า "โอปปาติกะ = สัตว์จำพวกหนึ่ง ที่ผุดเกิดขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เช่น เทวดา สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มนุษย์ต้นกัลป์ ฯลฯ เรียกง่าย ๆ ว่า กายทิพย์") ก็ยังต้องการสิ่งต่าง ๆ เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต้องการที่อยู่อาศัย ทำให้มีการประกอบพิธีเซ่นสรวง ดวงวิญญาณ ตลอดจนการสร้างเรือนจำลองในลักษณะของศาลหรือหอผี (อีสาน ก็ทำเหมือนจีน คือ เอาไม้ไผ่มาทำเป็นโครงบ้าน แล้วปะด้วยกระดาษ) เพื่ออุทิศ ให้เป็นที่สิงสถิตแก่ดวงวิญญาณด้วย จากความเชื่อดังกล่าว จึงเป็นแนวคิดส่วนหนึ่ง ที่ปรับเข้ากับการสร้างปราสาทผึ้ง ซึ่งมีลักษณะเป็นอาคารจำลอง เพื่ออุทิศส่วนกุศล จากการสร้างปราสาทผึ้งแก่ดวงวิญญาณบรรพบุึรุษ หรือเจ้ากรรมนายเวรผู้ล่วงลับความเชื่อที่เนื่องในศาสนาพราหมณ์ซึ่งเป็นความเชื่อที่เกี่ยวกับความนิยมในการสร้างปราสาทหินหรือเทวาลัยให้เป็นอาคารเทวสถานที่เชื่อว่าเป็นวิมานที่ประทับของเทพเจ้าสำคัญในศาสนาพราหมณ์เช่นพระอิศวรรามโดยเชื่อว่าการสร้างเทวาลัยอุทิศถวายแด่เทพเจ้านั้นเป็นอานิสงส์อย่างสูงสุดและยังเชื่อว่าอานิสงส์ของผู้ที่สร้างเทวาลัยอุทิศถวายนั้นจะส่งผลให้ชีวิตหลังความตายคือดวงวิญญาณจะได้เข้าไปรวมกับองค์เทพเจ้าที่ประดิษฐานอยู่ในอาคารเทวาลัยที่ได้สร้างไว้ปราสาทผึ้งแบ่งตามลักษณะรูปทรงได้เป็นสี่แบบคือ ขบวนแห่งปราสาทผึ้ง ปราสาทผึ้งทรงพระธาตุลักษณะรูปแบบโดยส่วนรวมคล้ายกับองค์พระสถูปเจดีย์หรือพระธาตุที่มีปรากฏในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวคือเป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยมหรือบางทีเรียกว่าเจดีย์ทรงดอกบัวเหลี่ยมเช่นพระธาตุพนมพระเชิงชุมพระธาตุศรีสองรักษ์พระธาตุบังพวนฯล
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!

เป็นประเพณีโบราณอีสานมุ่งทำเป็นพุทธบูชาหรือเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาคำว่า "ปราสาทผึ้ง" ในภาษาอีสานจะออกเสียง
โดยเริ่มพิธีกรรมนี้ในภาคอีสาน ในตำนานเรื่องหนองหาน (สกลนคร) กล่าวไว้ว่าในสมัยขอมเรืองอำนาจ ได้โปรดให้ เพื่อห่คบงันที่วัดเชิงชุม (วัดมหาธาตุเชิงชุมวรวิหาร) มีรากฐานของความเชื่อ ความเชื่อในเรื่องภูตผีวิญญาณและความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ มีที่มาจากเรื่องราวพุทธประวัติซึ่งมีปรากฏในเหตุการณ์ที่สำคัญคือเหตุการณ์ตอนที่ ได้พบช้างและลิงที่มาทำหน้าที่เป็นอุปัฏฐากโดยเฉพาะลิงนั้นได้นำรวงผึ้งมาถวายแด่พระพุทธองค์เมื่อพระพุทธเจ้ารับรวงผึ้งนั้นไปแันทำให้ลิงกระโดดด้วยความดีใจจนพลาดตกจากต้นลงมาตาย (จากการที่ผู้จัดทำได้ศึกษาเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าคงมีใครเอามาเล่าต่อ ๆ กันมา) และเหตุการณ์ ขณะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ภายหลังจากที่เสด็จไปจำพรรษาเทศนาโปรดพระพุทธมารดาและเหล่าเทวดาด้วยการเปิดโลกทั้งสามคือสวรรคภูมิมนุษยภูมิและนรกภูมิได้เห็นซึ่งกันและกันโดยตลอดซึ่งเรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่าเทโวโรหนปริ วัตต์ทำให้ผู้คนเห็นความแตกต่างของความสะดวกสบายบนสวรรคภูมิและความยากลำบากในนรกภูมิด้วยเหตุดังกล่าวทำให้พุทธศาสนิกชนได้คิดสร้างอาคารศาสนสถานถวายเป็น แต่งเป็นทรงบุษบกปราสาทผึ้งแต่งเป็นพระบรมมหาราชวังปราสาทผึ้ง ในพุทธศาสนา ตายเกิดในโลกภูมิต่าง ๆ โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่า ๆ ที่มีวิมาน มาเลยยเทวัตเถรวัตถุ (เป็นของพระลังกาแต่ง) ที่ได้กล่าวถึงพระมาลัยอรหันต์ซึ่งเป็นพุทธสาวกองค์หนึ่ง แต่เป็นสาวกรุ่นหลังเหมือนพระนาคเสนและเป็นพระลังกา) ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เคยไปเทศนาโปรดสัตว์ในนรกภูมิ (ความจริงแล้วสัตว์นรกไม่สามารถฟังธรรมได้เพราะอำนาจบาปกรรมที่ทำไว้ และได้เสด็จ (ในตำราทางพุทธเถรวาทเรียกว่า "พระเมตไตยะ" ในอนาคตกาลหลังจากนั้นพระมาลัยอรหันต์ได้เทศนาโปรดแก่พุทธศาสนิกชน เพื่อที่จะได้ไปเกิดบนสวรรค์รวมทั้งการสร้าง ที่เป็นอานิสงส์นำพาให้ได้ไปเกิดในบนสวรรค์มีวิมานเป็นที่อยู่อาศัย ด้วยการจัดทำสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ตลอดจนการสร้างบ้านเรือนด้วยกระดาษในลักษณะของสิ่งของเครื่องใช้และบ้านจำลอง ผู้ล่วงลับ ถือเป็น คือความเชื่อที่ว่าคนที่ตายไปแล้วดวงวิญญาณ (ทางพุทธเรียกว่า "โอปปาติกะ = สัตว์จำพวกหนึ่งที่ผุดเกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่เช่นเทวดาสัตว์นรกเปรตอสุรกายมนุษย์ต้นกัลป์ ฯลฯ เรียกง่าย ๆ ว่ากายทิพย์" ) ก็ยังต้องการสิ่งต่าง ๆ เป็นคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการต้องการที่อยู่อาศัยทำให้มีการประกอบพิธีเซ่นสรวงดวงวิญญาณ (อีสานก็ทำเหมือนจีนคือเอาไม้ไผ่มาทำเป็นโครงบ้านแล้วปะด้วยกระดาษ) เพื่ออุทิศให้เป็นที่สิงสถิตแก่ดวงวิญญาณด้วยจากความเชื่อดังกล่าวจึงเป็นแนวคิดส่วนหนึ่งที่ปรับเข้ากับการสร้างปราสาทผึ้งซึ่งมีลักษณะเป็น อาคารจำลองเพื่ออุทิศส่วนกุศล ในการสร้างปราสาทหินหรือเทวาลัยให้เป็นอาคารเทวสถานที่เชื่อว่าเป็นวิมาน เช่นพระอิศวรพระนารายณ์โดยเชื่อว่า เป็นอานิสงส์อย่างสูงสุด จะส่งผลให้ชีวิตหลังความตาย ที่ประดิษฐานอยู่ในอาคารเทวาลัยที่ได้สร้างไว้ปราสาทผึ้งแบ่งตามลักษณะรูปทรงได้เป็นสี่แบบ ลักษณะรูปแบบโดยส่วนรวมคล้ายกับองค์พระสถูปเจดีย์หรือพระธาตุที่มีปรากฏ คือเป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยมหรือบางทีเรียกว่าเจดีย์ทรงดอกบัวเหลี่ยมเช่นพระธาตุพนมพระเชิงชุมพระธาตุศรีสองรักษ์พระธาตุบังพวนฯ ล

















การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง
การแห่งปราสาทผึ้งเป็นประเพณีโบราณอีสานมุ่งทำเป็นพุทธบูชาหรือเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาคำว่า " ปราสาทผึ้งในภาษาอีสานจะออกเสียง " ผาสาทเผิ่ง "
"ความเชื่อเรื่องการแห่ปราสาทผึ้งเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาโดยเริ่มพิธีกรรมนี้ในภาคอีสานตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดในตำนานเรื่องหนองหาน ( สกลนคร ) กล่าวไว้ว่าในสมัยขอมเรืองอำนาจได้โปรดให้ข้าราชบริพารทำต้นผึ้งหรือปราสาทผึ้งในวันออกพรรษาเพื่อห่คบงันที่วัดเชิงชุม ( วัดมหาธาตุเชิงชุมวรวิหาร ) จากนั้นเมืองหนองหานได้จัดวันปราสาทผึ้งติดต่อกันมาทุกปี


ความเชื่อในประเพณีการแห่ปราสาทผึ้งนั้นการตกแต่งปราสาทผึ้งมีรากฐานของความเชื่อที่เนื่องมาจากความเชื่อในพุทธศาสนาความเชื่อในเรื่องภูตผีวิญญาณและความเชื่อในศาสนาพราหมณ์กล่าวคือ
ความเชื่อที่เนื่องในพุทธศาสนาถือเป็นปรัชญานำมาสู่การสร้างปราสาทผึ้งนั้นมีที่มาจากเรื่องราวพุทธประวัติซึ่งมีปรากฏในเหตุการณ์ที่สำคัญคือเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่ป่าปาเลไลยก์เป็นอุปัฏฐากโดยเฉพาะลิงนั้นได้นำรวงผึ้งมาถวายแด่พระพุทธองค์เมื่อพระพุทธเจ้ารับรวงผึ้งนั้นไปแันทำให้ลิงกระโดดด้วยความดีใจจนพลาดตกจากต้นลงมาตายด้วยอานิสงส์ที่ลิงได้ถวายรวงผึ้งแดพระพุทธองค์ ( จากการ
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: