วัฒนธรรมแต่ละทอ้งถิ่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยู่หวั พระผทู้รงฟื้นฟูไหมไทย วสัดุธรรมชาติที่ทรงคุณค่าทาง เศรษฐกิจ คงไม่มีสิ่งใดเทียบเท่าเส้นใยไหมที่ทา ใหไ้ดส้ิ่งทอที่สวยงาม ดงัเช่นผา้ไหมไทยที่มีความงาม เป็นเอกลกัษณ์เฉพาะตวั จนมีชื่อเสียงลือไปทั่วโลก การผลิตไหมในประเทศไทยไดเ้ริ่มพัฒนาขึ้น เมื่อ รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยู่หวั รัชกาลที่ 5 ซ่ึงเป็นยคุแห่งการฟื้นฟูส่งเสริมและ พฒันาการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม สาวไหม และทอผา้ไหม จนปัจจุบนัการผลิตไหมในประเทศไทยเป็น การสร้างอาชีพ และรายไดใ้หก้ับประชากรการเลี้ยงไหมและทอผา้ในภาคอีสาน จากสารานุกรมไทยฉบบัราชบณัฑิตฯ กล่าวว่า สมยั รัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2360 ปลายสมยัพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้นภาลยั รัชกาลที่ 2 ขนุนางชาว เวยีงจนัทน์ชื่อนายแลเป็นหวัหนา้นา ชาวลาวขา้มโขงมาตั้งหลกัแหล่งที่บา้นเนินออ้ม (เมืองชัยภูมิ) นายแลและพวกมี ความชา นาญในการเลี้ยงไหม สาวไหม และทอผา้ไหม ต่อมาไดเ้อาใจออกห่างจาก นครเวยีงจนัทน์และหนัมาสวามิภกัดิ์ต่อไทยในสมยัพระบาท สมเด็จพระนั่งเกลา้เจา้อยู่หวั (รัชกาล ที่ 3) นายแลไดร้ับแต่งตั้งเป็นเจา้เมืองชยัภูมิแต่ไดถ้ึงแก่กรรมก่อนจะสร้างเมืองเสร็จ ชาวเมืองจึงปลูก ศาลขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่นายแลผบูุ้กเบิกสิ่งทอไทย ศาลนี้มีชื่อว่า "ศาลเจา้พ่อพระยาแล” จึงเป็นที่ เขา้ใจว่าการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผา้ ไหมไดแ้พร่หลายไปทั่วภาคอีสานของไทย ตั้งแต่นั้นมา ในสภาพสังคมเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม หนา้ที่ของสตรีชาวอีสานแสดงใหเ้ห็นวถิีชีวิตและ โลกทศัน์ของหญิงกล่าวคือ ผูห้ญิงตอ้งเรียนรู้ และฝึกหดัการทอผา้มาตั้งแต่เด็ก พฒันาฝีมือ ความสามารถในวยัสาว เพื่อ เตรียมพร้อมสา หรับพิธีแต่งงานตามค่านิยมของคนอีสาน จนวยัผใู้หญ่มี ครอบ ครัว และวยัชราก็กลายมาเป็นผถู้่ายทอดทกัษะฝีมือ รวมทั้งการอบรมสั่งสอน การทอผา้ใหก้ับ ลูกหลาน ดงันั้น จะเห็นไดว้่าการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมนั้นมีมา ตั้งแต่ปลายสมยัรัชกาลที่ 2 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2444 ในสมยัรัชกาลที่ 5 จึง มีแนวคิดที่จะส่งเสริมการเลี้ยงไหมในภาคตะวนัออกเฉียงเหนือ และ ทอผา้ไหม ส่งเป็นสินคา้ออก และอาจกล่าวไดว้่า งานพัฒนาการเกษตรอย่างมีวชิาการเริ่ม ตน้ดว้ย กรมช่างไหม ซ่ึงตั้งขึ้นในกระทรวงเกษตรราธิการ สา หรับประวตัิผา้ไหมที่มีหลกัฐาน และมีการคน้พบที่เก่าแก่ที่สุด คือ พบที่ประเทศจีน ประมาณ 4,700 กว่าปีที่แลว้ โดยมีหลกัฐานที่สามารถอา้งถึงได ้อาทิ หนงัสือจีนโบราณชื่อ ไคเภก็ ที่ กล่าวถึงพระนางง่วนฮุย พระมเหสีของพระเจา้อึ้งตี่ ที่เป็นผู้ริเริ่มการทอผา้ไหมจากหนอนไหมที่ พระองคส์ังเกตเห็นโดยบงัเอิญ และไดเ้ผยแพร่ไปสู่เขตต่างๆ รวมไปถึงอาณาจกัรใกลเ้คียง สา หรับประเทศไทย พบหลกัฐานที่เกี่ยวขอ้งกับการทอผา้ไหมที่เก่าแก่ที่สุดประมาณ 3,000 กว่าปีที่แลว้ โดยพบเศษผา้ไหมของวัฒนธรรมบา้นเชียง ณ บา้นนาดี อา เภอหนองหาญ จงัหวดัอุดร และบริเวณพื้นที่อื่นๆในภาคอีสานซ่ึงจากการสันนิษฐาน พบว่า มีการเลี้ยง และการทอผา้ไหมเป็น เครื่องนุ่งหุ่มกระจายทั่วไปในแถบภาคอีสาน และสายพนัธุ์ไหมที่ใชเ้ป็นสายพนัธุ์พื้นเมืองที่มีการฟัก