เรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นเนื่องจากงานเข้าสองงาน คือ ได้รับเชิญไปออกรายการครอบครัวเดียวกันทางทีวีไทย กับอีกงานได้รับเกียรติให้ไปเป็นวิทยากรบอกเล่าประสบการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม คาดไว้ว่าจะเป็นหัวข้อ "อยู่อย่างเบียดเบียนธรรมชาติน้อยที่สุด ทำอย่างไร" จึงจำเป็นต้องเขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมขนาดยาวขึ้นเพื่อสองงานนี้ แต่งานหลังคลาดไปเพราะเวลาไม่เหมาะสม
"สิ่งแวดล้อม" เมื่อพูดถึงคำนี้แล้วเรานึกถึงอะไร ถ้าเอาตามที่ผมนึกคิด สำหรับคนโดยมากนั้น มันคงเป็นอะไรที่ฟังดูไกลตัวมากๆ เลย ไกลซะยิ่งกว่าเรื่องการเมืองเสียอีก เพราะอย่างน้อยการเมืองก็เกี่ยวกับเรื่องปากท้อง แต่สิ่งแวดล้อมนี่สิ ไม่เห็นมันจะไปอิ่มท้องอะไรตรงไหน ตรงกันข้ามถ้าหากว่าเรารู้และเข้าใจถึงมูลเหตุที่แท้จริงของมัน เรื่องของสิ่งแวดล้อมกลับเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดต่อการดำรงอยู่ของชีวิตทุกชีวิตเลยทีเดียว แล้วอย่างนี้จะมองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวได้อย่างไร
อันที่จริงตัวกระผมเองนัั้นอาจมีพื้นฐานจากเรื่องราวของสิ่งแวดล้อมมาเป็นอันดับแรกก็เป็นได้ ที่ทำให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้ หากย้อนไปได้สัก 7 ปีก่อน ตอนนั้นก็เป็นได้แค่ผิวๆ ของมัน ไม่รู้ทำไมผมมักจะสนใจเรื่องราวของสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่สมัยบ้าอ่านหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ทุกครั้งที่มีการพูดถึงเรื่องราวของสิ่งแวดล้อมแล้ว จะรู้สึกอินทุกครั้งไป ตอนนั้นการเมืองก็อ่านเยอะเหมือนกัน คงเป็นสมัยคุณทักษิณและไทยรักไทยกำลังฟีเวอร์ แต่ติดตามไป ติดตามมาก็ยิ่งรู้สึกว่า การเมืองไม่ต่างจากละครหลังข่าว นั่นคือ อีรอบเดิม โคตรเน่า แต่ก็นับว่ายุคสมัยนั้นการเมืองมีสีสันมากมายจริงๆ เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงวงการการเมืองที่น่าเบื่อ มาสนุกสนานกับการแสดงโชว์ของนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น
ทั้งที่ตอนนั้นก็สนใจในลัทธิคอมมิวนิสต์ รู้จักแนวคิดต่างๆ มากขึ้นทั้งซ้ายและขวา แต่สุดท้ายแล้วผมเลือกที่จะสนใจทางด้านสิ่งแวดล้อมบวกกับเรื่องราวของสังคมนิยม นั่นทำให้ผมเริ่มปฏิเสธบริโภคนิยมและทุนนิยม พอศึกษาไปมาก็พบว่าคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้นมาบนโลก เป็นโลกที่เผด็จการโดยรัฐ กว่าจะรู้ก็บ้าไปกับมันอยู่ 2-3 ปี นึกไปว่าคัมภีร์มาร์กซิสจะเป็นอุดมคติที่เราควรจะค้นหา ค้นหาไป ค้นหามาถึงได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำได้ไม่ใช่การเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการเมืองการปกครองมหึมานั่น แต่เปลี่ยนที่ตัวเราเองจากข้างล่างคือระดับรายย่อยที่เล็กที่สุดคือระดับปัจเจก จึงเป็นคำถามว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างไร โดยไม่จำเป็นต้องง้อการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างที่ไม่รู้ว่าจะต้องเกิดอีกกี่ชาติ แล้วถึงมันจะเปลี่ยนได้จริงผมก็ไม่เชื่อหรอกว่ามันจะดีขึ้น ผมต้องการการเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้ ชาตินี้และดีที่สุด ไม่ต้องรอชาติหน้า
เรื่องสิ่งแวดล้อมผมทำอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ตั้งแต่เกือบสิบปีที่แล้ว ผมปฏิเสธถุงพลาสติก ตอนนั้นก็ทำอยู่แค่นั้น เพียงเพราะแค่ได้อ่านเรื่องราวของถุงพลาสติก ยังไม่ได้สำนึกถึงสิ่งที่บริโภคตามมาอีก ยังคงบริโภคตามใจอยากปกติ ถ้าถามคนที่เคยทำงานอยู่ด้วยกันตอนนั้น ผมจะเป็นเจ้าลัทธิปฏิเสธถุงพลาสติก นำพาเพื่อนๆ ถือขนมกันเอง จริงๆ ก็ไม่รู้จะใส่ไปทำอะไรด้วย มันแค่หิ้วสบายขึ้นด้วยความเคยชินใช้นิ้วเดียวหิ้วได้เท่านั้นเอง เคยคิดจะทำละครงานประจำปีบริษัทเรื่อง "โลกยุคหลังพลาสติก" เสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยเวลาและงานที่ทำ จึงไม่มีสมาธิพอจะคิดพล็อตออกมา
ปัจจุบันเรื่องราวของสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องฮิตติดแฟชั่นท็อปชาร์ต ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นถุงผ้า แฟชั่นโลกร้อน และสิ่งที่อันตรายที่สุดของแฟชั่นคือไม่นานมันก็จะหายไป โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังทำลายโลกมากขึ้นอีกด้วยแฟชั่นถุงผ้าที่ผลิตกันออกมาเพียงเพื่อใช้งานมันครั้งเดียว แต่อย่างน้อยเอาล่ะผู้คนรู้จักศัพท์ใหม่ๆ มากขึ้น อย่าง โลกร้อน ถุงผ้า และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
จริงๆ ผมก็งงๆ เหมือนกันนะว่ากระแสมันฟีเวอร์ขึ้นมาได้อย่างไร เพราะ ไอ้เจ้า green house effect, โลกร้อน เรารู้จักกันมาตั้งแต่เรียนประถม ขนาดผมเป็นนักเรียนชั้นปลายแถวของห้องยังรู้จักปรากฏการณ์เรือนกระจกเลย คงเป็นเพราะข่าวภัยพิบัติมากๆ ในช่วงนี้กระมัง ตั้งแต่สึนามิเป็นต้นมา แต่ก็บอกตรงๆ เลยนะครับว่า เวลาผมซื้อของที่ไหนก็ตาม ผมยังไม่เคยเห็นใครใช้ถุงผ้าหรือไม่ใส่ถุงเลยแม้แต่คนเดียว ยกเว้นแต่ผู้คนที่ไปซื้อของที่ห้างพลังบุญที่สันติอโศกบึงกุ่มเท่านั้นที่ทำกันอย่างนี้ แต่นั่นก็ด้วยนโยบายของห้างเท่านั้นที่เปลี่ยนไปแบบไม่ใช้ถุง หรือว่าห้างแมคโคร ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนทำกันเองโดยสมัครใจ
ทีนี้ใครที่ไปซื้อของที่ไหนก็ตามแล้วบอกว่าไม่ใส่ถุงแล้วพนักงานยังงงๆ อยู่ และต้องพูดหลายรอบ บางครั้งก็ต้องบอก "ไม่ต้อง ไม่ต๊อง ไม่ต้อง" หลายรอบ เพราะพนักงานกลัวเราลำบาก ตอนนี้ก็นับว่าน้อยลงมากแล้ว จงทำต่อไปเถอะครับ อดทนเสียสละปากเปียกปากแฉะ เพื่อทำสิ่งที่ดีกว่า ทุกวันนี้ผมไม่ต้องปากเปียกเองแล้ว เพราะวันนี้ถ้าหนีบลูกสาวไปด้วย เธอจะพูดแทนได้เป็นหุ่นยนต์เลยครับ
ขอพูดเรื่องถุงพลาสติกนิดนึงว่าทำไมเราจึงไม่ต้องการมัน ถุงพลาสติกนั้นเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยทางสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เหตุเพราะว่าเราใช้แล้วทิ้งทันที เพียงแค่ใส่แล้วหิ้วกลับบ้านเท่านั้น พลาสติกเป็นสิ่งที่ย่อยสลายกันเป็นชั่วอายุคน และที่ร้ายกาจคือมันไม่ได้ย่อยสลายจริงๆ มันแค่แตกกระจายออกเป็นละอองพลาสติกย่อยๆ เล็กๆ เท่านั้น ไม่เว้นถุงที่อ้างว่าย่อยสลายในเวลาไม่กี่ปีนั้น มันเพียงแค่ทำหน้าที่กระจายออกเป็นโมเลกุลย่อยๆ เท่านั้นเอง มันยังคงอยู่ในอากาศ, น้ำ และโลกที่เราอาศัยอยู่กันไปอีกนานแสนนาน หากมีละอองลงแหล่งน้ำที่บริโภคปลากินเข้าไปเราบริโภคปลาหรือบริโภคน้ำโดยตรงก็เข้าไปสะสมในร่างกาย เผลอๆก็กลายพันธุ์เป็นอย่างอื่น เช่น มะเร็ง ในที่สุด
เอาล่ะ เรื่องของถุงพลาสติกเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าเราลงลึกไปอีก จะเห็นว่าสิ่งที่เราบริโภคอยู่ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการ กิน อยู่อาศัย เสื้อผ้า แทบทุกอย่างล้วนมีส่วนในการทำลายสิ่งแวดล้อมแทบทั้งสิ้น ถ้าฟังที่ผมพูดทั้งหมด เราอาจจะได้ยินคำว่า บ้าไปแล้ว ย