Ninety percent of all dinoflagellat

Ninety percent of all dinoflagellates are marine plankton. There are also many freshwater species, some of which have been found growing in snow! They may be photosynthetic or non-photosynthetic; about half the species fall into each category. The photosynthetic dinoflagellates are second only to diatoms as primary producers in coastal waters.

A number of photosynthetic dinoflagellates take up residence within other organisms as symbiotic partners. These zooxanthellae may be found in many marine invertebrates, including sponges, corals, jellyfish, and flatworms, as well as within protists, such as ciliates, foraminiferans, and colonial radiolarians. In each case, the host organism is able to swallow the dinoflagellate and incorporate it into its own tissues without harming it. The dinoflagellate then divides repeatedly to increase its numbers, and begins to manufacture carbohydrates which are provided to the host. The degree of interdependence varies greatly -- the sea anemone Anemonia can survive quite well without its zooxanthellae, while certain corals rely almost exclusively on the food from their symbionts, and build reefs much faster with the dinoflagellates present in their tissues.

Non-photosynthetic species of dinoflagellates feed on diatoms or other protists (including other dinoflagellates); the genus Noctiluca is large enough to eat fish eggs, and is able to swallow protists larger than itself. Some species will parasitize other organisms, such as zooplankton and other protists, filamentous algae, or fish.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด dinoflagellates มีแพลงก์ตอนทะเล มีหลายชนิดปลาน้ำจืด บางอย่างที่พบเจริญเติบโตในหิมะ พวกเขาอาจจะไม่สังเคราะห์ แสง หรือดำรง สายพันธุ์ประมาณครึ่งตกอยู่ในแต่ละประเภท Dinoflagellates ดำรงอยู่สองอะตอมเท่านั้นที่จะเป็นผู้ผลิตหลักในน่านน้ำชายฝั่งจำนวน dinoflagellates ดำรงกินภายในสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เป็นชีวภาพคู่ Zooxanthellae เหล่านี้อาจพบได้ ในชาย หาดทะเลหลาย รวม ทั้งฟองน้ำ ปะการัง แมงกะพรุน อำเภอ ปากช่อง เช่นเดียว กับภาย ใน ชี่ เช่น ciliates, foraminiferans โคโลเนียล radiolarians ในแต่ละกรณี โฮสต์สิ่งมีชีวิตจะสามารถกลืน dinoflagellate และรวมเข้าไปในเนื้อเยื่อของตนเองโดยไม่ทำร้ายมัน Dinoflagellate แบ่งซ้ำ ๆ เพื่อเพิ่มหมายเลขของมัน แล้วเริ่มผลิตคาร์โบไฮเดรตซึ่งมีบริการไปยังโฮสต์ ระดับของการพึ่งพากันอย่างมาก - ซีแอนนีโมน Anemonia สามารถอยู่รอด โดยของ zooxanthellae ค่อนข้างดีในขณะที่ปะการังบางพึ่งพาอาหารจาก symbionts ของพวกเขาโดยเฉพาะ และสร้างเร็ว ด้วย dinoflagellates ในเนื้อเยื่อปะการังแตกต่างกันไปไม่ดำรงพันธุ์ dinoflagellates กินอะตอมหรือชี่อื่น ๆ (รวมถึงอื่น ๆ dinoflagellates); สกุล Noctiluca เป็นขนาดใหญ่พอที่จะกินไข่ปลา และสามารถกลืนชี่ขนาดใหญ่กว่าตัวเอง บางชนิดจะ parasitize สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่นแพลงตอนสัตว์ และอื่น ๆ ชี่ ด้ายสาหร่าย หรือปลา

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของ dinoflagellates ทั้งหมดเป็นแพลงก์ตอนทะเล นอกจากนี้ยังมีหลายสายพันธุ์น้ำจืดบางส่วนที่ได้รับพบว่าการเจริญเติบโตในหิมะ! พวกเขาอาจจะสังเคราะห์แสงหรือไม่สังเคราะห์แสง; ประมาณครึ่งหนึ่งของสายพันธุ์ตกอยู่ในแต่ละหมวดหมู่ dinoflagellates สังเคราะห์แสงเป็นที่สองเท่านั้นที่ไดอะตอมในฐานะผู้ผลิตหลักในน่านน้ำชายฝั่ง.

จำนวน dinoflagellates สังเคราะห์ใช้เวลาถึงถิ่นที่อยู่ภายในมีชีวิตอื่น ๆ ในฐานะหุ้นส่วนทางชีวภาพ zooxanthellae เหล่านี้อาจพบได้ในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลายทางทะเลรวมทั้งฟองน้ำปะการังแมงกะพรุนและ flatworms เช่นเดียวกับภายใน protists เช่น ciliates, foraminiferans และ radiolarians อาณานิคม ในแต่ละกรณีมีชีวิตโฮสต์สามารถที่จะกลืนไดโนแฟลกเจลเลตและรวมมันเข้าไปในเนื้อเยื่อของตัวเองโดยไม่ทำร้ายมัน ไดโนแฟลกเจลเลตแล้วแบ่งซ้ำ ๆ เพื่อเพิ่มจำนวนของตนและจะเริ่มผลิตคาร์โบไฮเดรตที่มีให้เป็นเจ้าภาพ ระดับของการพึ่งพาซึ่งกันและกันแตกต่างกันมาก - The Anemonia ทะเลดอกไม้ทะเลสามารถอยู่รอดได้ค่อนข้างดีโดยไม่ต้อง zooxanthellae ในขณะที่แนวปะการังบางพึ่งพาเกือบเฉพาะในอาหารจาก symbionts ของพวกเขาและสร้างแนวปะการังได้เร็วขึ้นมากกับ dinoflagellates ที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อของพวกเขา.

ไม่ใช่สายพันธุ์สังเคราะห์แสง ของ dinoflagellates กินไดอะตอมหรือ protists อื่น ๆ (รวมถึง dinoflagellates อื่น ๆ ); ประเภท Noctiluca มีขนาดใหญ่พอที่จะกินปลาไข่และสามารถที่จะกลืน protists มีขนาดใหญ่กว่าตัวเอง บางชนิดเป็นปรสิตจะมีชีวิตอื่น ๆ เช่นแพลงก์ตอนสัตว์และอื่น ๆ protists สาหร่ายใยหรือปลา

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

บีฟมาสเตอร์เป็นพันธุ์โคเนื้อ ที่พัฒนาในทศวรรษ 1930 โดยทอม lasater ( พันธุ์ผู้ก่อตั้ง ) หลังจากที่พ่อของเอ็ด C lasater สร้างพันธุ์ จากข้ามของวัวและวัวบราห์มัน เฮอร์ฟอร์ด shorthorn บูลส์ ส่วนผสมที่แน่นอนของมูลนิธิโคไม่ทราบ แต่คิดว่าน่าจะประมาณ 25% เฮอร์ shorthorn , 25% และ 50% บราห์มัน . มันเป็นครั้งแรกที่ได้รับการยอมรับโดย USDA เป็นสายพันธุ์ใหม่ในปี 1954 . [ 1 ] ความตั้งใจเดิม เพื่อผลิตโคที่สามารถผลิตทางเศรษฐกิจในสภาพแวดล้อมที่ยากทางใต้ของเท็กซัส วัวถูกเลือกโดยใช้หกจำเป็น–น้ำหนัก , โครงสร้าง , รีดความสามารถ ความอุดมสมบูรณ์ของความทนทานและการจัดการ ถึงแม้ว่าจะไม่มีมาตรฐานสี ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง สีแดงอ่อน สีขาวด่าง , จุด กว่าทศวรรษที่ผ่านมาได้กลายเป็นบีฟมาสเตอร์สีดำเป็นที่นิยมในหมู่ฝูง ผู้จัดการการใช้พันธุ์ลูกผสมในโปรแกรมการศึกษาของพวกเขาเพียร วัวเหล่านี้เป็นอเนกประสงค์อเนกประสงค์พันธุ์ ซึ่งหมายความ ว่า พวกเขาสามารถใช้น้ำนมเป็นเนื้อ