SS: In 1120 AD the Christian King A

SS: In 1120 AD the Christian King Alfonso I “the battler” conquered the Islamic city of Calat-Darwaca. He granted “fueros” (regional laws) or privileges to the city and also to new citizens for the reorganization of the new community in different ways (social, cultural and political), allowing for freedom of worship. During the Middle Ages this community was composed of three cultures, the Christian (the main and dominant), the Muslim (with more than three hundred members), and the Jewish (locked in a walled boundary line as one of the most important “aljama” or jewish quarter in the Kingdom of Aragon). The coexistence between religions and cultures is reflected in the rich artistic history of these cities. With the passing of time several decrees and royal edicts made the situation more intolerable day by day for these communities, up to the point of an obligatory conversion to the Christian religion, or the final expulsion of the Jews in 1492 and the Muslims in 1619. Until then, these minority cultures endured a huge number of social injustices, false accusations, and punishments by the Tribunal of the Supreme Inquisition

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

SS: ใน 1120 AD อัลฟองโซกษัตริย์คริสเตียน "battler" ฉันเอาชนะอิสลามเมือง Calat Darwaca เขาให้ "fueros" (ภูมิภาคกฎหมาย) หรือสิทธิ์ การเมือง และ ให้ประชาชนใหม่สำหรับลูกจ้างของชุมชนใหม่ในลักษณะต่าง ๆ (สังคม วัฒนธรรม และการเมือง), การอนุญาตให้เสรีภาพในการบูชา ในระหว่างยุคกลาง ชุมชนประกอบด้วยวัฒนธรรม 3 คริสเตียน (หลักการหลัก), มุสลิมกับสมาชิกกว่าสามร้อย), และชาวยิว (ล็อกในบรรทัดขอบกำแพงเป็นสำคัญ "aljama" หรือชาวยิว jewish quarter ในราชอาณาจักรอารากอน) มีอยู่ร่วมกันระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมเป็นประจำประวัติศิลปะของเมืองเหล่านี้ มีผ่านเวลา หลายกฎเกณฑ์และขราชได้สถานการณ์เพิ่มเติมนำมารวมวันสำหรับชุมชนเหล่านี้ จุดของการแปลงบังคับศาสนาคริสเตียน หรือขับไล่สุดท้ายของชาวยิวใน 1492 และมุสลิมใน 1619 จนแล้ว วัฒนธรรมชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ทนจำนวนมากของสังคมต้องสู้ ข้อกล่าวหาเท็จ และลงโทษ โดยศาลของ Inquisition สุพรีม

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เอสเอสใน 1120 AD คริสเตียนกษัตริย์อัลฟองโซฉัน "Battler" พิชิตเมืองอิสลามแห่ง Calat-Darwaca เขาได้รับ "fueros" (กฎหมายระดับภูมิภาค) หรือสิทธิพิเศษไปยังเมืองและยังประชาชนใหม่สำหรับการปรับโครงสร้างองค์กรของชุมชนใหม่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน (สังคมวัฒนธรรมและการเมือง) เพื่อให้เสรีภาพในการบูชา ช่วงยุคกลางชุมชนแห่งนี้ประกอบด้วยสามวัฒนธรรมคริสเตียน (หลักและที่โดดเด่น) มุสลิม (ที่มีมากกว่าสามร้อยสมาชิก) และชาวยิว (ถูกขังอยู่ในแนวกำแพงเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด "Aljama "หรือไตรมาสที่ชาวยิวในราชอาณาจักรแห่งอารากอน) การอยู่ร่วมกันระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมจะสะท้อนให้เห็นในประวัติศาสตร์ศิลปะที่อุดมไปด้วยเมืองเหล่านี้ ด้วยการผ่านเวลาหลายนามและพระราชสิตทำให้สถานการณ์วันทนมากขึ้นโดยวันสำหรับชุมชนเหล่านี้ขึ้นมาถึงจุดของการแปลงบังคับกับศาสนาคริสต์หรือขับไล่สุดท้ายของชาวยิวใน 1492 และชาวมุสลิมใน 1619 จนแล้ววัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ต้องทนเป็นจำนวนมากของความอยุติธรรมทางสังคมข้อกล่าวหาเท็จและการลงโทษโดยศาลของศาลฎีกาสืบสวน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

SS : 1120 ลงประกาศกษัตริย์คริสเตียน Alfonso ฉัน " แบทเลอร์ " พิชิตเมืองของอิสลาม calat darwaca . เขาได้รับ " fueros " ( ภูมิภาคกฎหมาย ) หรือสิทธิพิเศษในเมืองและยังพลเมืองใหม่สำหรับการปรับโครงสร้างของชุมชนใหม่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ( ทางสังคม วัฒนธรรมและการเมือง ) , การอนุญาตให้เสรีภาพแห่งการนมัสการ ในช่วงยุคกลาง ชุมชนนี้ประกอบด้วยสามวัฒนธรรมคริสเตียน ( หลักและเด่น ) มุสลิม ( ที่มีมากกว่าสามแสนคน ) และยิว ( ล็อคในผนังเป็นเส้นเขตแดนเป็นหนึ่งในที่สำคัญที่สุด " aljama " หรือไตรมาสที่ชาวยิวในอาณาจักรอารากอน ) การอยู่ร่วมกันระหว่างศาสนา และ วัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นในประวัติศาสตร์ศิลปะมากมายของเมืองเหล่านี้ด้วยเวลาที่ผ่านไปหลายนามหลวงต้องทำให้สถานการณ์เหลือทนมากขึ้นทุกวันเพื่อชุมชนเหล่านี้ถึงจุดของการแปลงบังคับให้ คริสเตียน ศาสนา หรือ สุดท้าย การไล่ออกของยิวและมุสลิมใน 1720 . จนกว่าจะถึงตอนนั้น วัฒนธรรมชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ทนกับตัวเลขขนาดใหญ่ของความอยุติธรรมทางสังคม ข้อกล่าวหาเท็จและการลงโทษโดยศาลไต่สวนของศาลฎีกา