Our civilization depends on the soi

Our civilization depends on the soil more crucially than ever, because our
numbers have grown while available soil resources have diminished and deteriorated.
Paradoxically, however, even as our dependence on the soil has
increased, most of us have become physically and emotionally detached from
it. The majority of the people in the so-called “developed” countries spend
their lives in the artificial environment of a city, insulated from direct exposure
to nature. Many children now assume as a matter of course that food originates
in supermarkets.
Detachment has bred ignorance, and out of ignorance has come the arrogant
delusion that our civilization has risen above nature and has set itself free
of its constraints. Agriculture and food security, erosion and salination, degradation
of natural ecosystems, depletion and pollution of surface waters and
aquifers, and decimation of biodiversity — all these processes, which involve
the soil directly or indirectly, have become mere abstractions to most people.
The very language we use betrays disdain for that common material underfoot,
often referred to as “dirt.” Some fastidious parents prohibit their children
from playing in the mud and rush to wash their “soiled” hands when the
children nonetheless obey an innate instinct to do so. Thus is devalued and
treated as unclean what is in fact the terrestrial realm’s principal medium of
purification, wherein wastes are decomposed and nature’s productivity is continually
rejuvenated.
Scientists who observe the soil discern a seething foundry in which matter
and energy are in constant flux. Radiant energy from the sun streams onto the
field and cascades through the soil and the plants growing in it. Heat is
exchanged, rainwater percolates in the intricate passages of the soil, plant
roots suck up that water and transmit it to their leaves, which transpire it back
to the atmosphere. The leaves absorb carbon dioxide from the air and synthesize
it with soil-derived water to form the primary compounds of life: carbohydrates,
fats, proteins, and numerous other compounds (many of which
provide medicinal as well as nutritional value). Oxygen emitted by the leaves
makes the air breathable for animals, which feed on and in turn fertilize the
plants.
The soil is thus a self-regulating biophysical factory, utilizing its own materials,
water, and solar energy. It also determines the fate of rainfall and snowfall
reaching the ground surface — whether the water thus received will flow
over the land as runoff or seep downward to the subterranean reservoir called
groundwater, which in turn maintains the steady flow of springs and streams.
With its finite capacity to absorb and store moisture, the soil regulates all of
these phenomena. Without the soil as a buffer, rain falling over the continents
would run off immediately, producing violent floods rather than sustained
stream flow.
The soil naturally acts as a living filter in which pathogens and toxins that
might otherwise accumulate to foul the terrestrial environment are rendered
harmless and transmuted into nutrients. Since time immemorial, humans and
other animals have been dying of all manner of diseases and have then been
buried in the soil, yet no major disease is transmitted by it. The term antibiotic
was coined by soil microbiologists, who, as a consequence of their studies of
soil bacteria and actinomycetes, discovered streptomycin (an important cure
for tuberculosis and other infections). Ion exchange, a useful process of water

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

อารยธรรมของเราขึ้นอยู่กับดินดับกว่าเดิม เนื่องจากเราหมายเลขมีการเติบโตในขณะที่ทรัพยากรมีดินได้ลดน้อยลง และเสื่อมโทรมหลาย ๆ คน อย่างไรก็ตาม แม้เป็นดินพึ่งพาได้เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ของเราได้กลายเป็นร่างกาย และอารมณ์ออกจากมัน ใช้เวลาส่วนใหญ่ของคนในประเทศเรียกว่า "พัฒนา"ชีวิตในสิ่งแวดล้อมเทียมเมือง ฉนวนจากการสัมผัสโดยตรงธรรมชาติ เด็กหลายคนตอนนี้สมมติเป็นเรื่องปกติที่เกิดอาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตออกมีพันธุ์ไม่รู้ และจากความไม่รู้มาหยิ่งความว่า อารยธรรมของเราเพิ่มขึ้นเหนือธรรมชาติ และมีกำหนดตัวเองฟรีของข้อจำกัดของมัน เกษตรและอาหารปลอดภัย พังทลาย และ salination ย่อยสลายระบบนิเวศธรรมชาติ สูญเสียและมลพิษของพื้นผิวน้ำทะเล และaquifers และกำจัดความหลากหลายทางชีวภาพ — ทั้งหมดกระบวนการเหล่านี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับดินโดยตรง หรือโดย อ้อม ได้กลายเป็น เพียง abstractions คนส่วนใหญ่เราใช้ภาษามากกันทรยศรังเกียจสำหรับวัสดุทั่วไปที่บ้านมักเรียกว่า "สกปรก" ผู้ปกครองบางคนจุกจิกห้ามลูก ๆเล่นในโคลนและวิ่ง "สกปรก" ล้างมือเมื่อการเด็ก ๆ ก็เชื่อฟังเป็นสัญชาตญาณโดยธรรมชาติได้ จึง ได้กำหนดให้ใช้เงิน และไม่สะอาดเป็นคืออะไรในความเป็นจริงดินแดนภาคพื้นดินของหลักปฏิบัติปานกลางของบริสุทธิ์ นั้นมีการย่อยสลายของเสีย และผลผลิตของธรรมชาติอย่างต่อเนื่องกระปรี้กระเปร่านักวิทยาศาสตร์ที่สังเกตดินแยกแยะ seething โรงหล่อในเรื่องใดและพลังงานอยู่ในสิงคโปร์ กระแสพลังงานสดใสจากแสงแดดเข้าสู่ตัวฟิลด์และน้ำตกผ่านดินและพืชที่ปลูกใน ความร้อนเป็นแลกเปลี่ยน น้ำฝน percolates ในข้อความซับซ้อนของดิน พืชรากดูดน้ำ และส่งไปยังใบของพวกเขา ซึ่งคุณธรรมกลับบรรยากาศ ใบดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ และสังเคราะห์ด้วยน้ำดินที่ได้มาในรูปสารประกอบหลักของชีวิต: คาร์โบไฮเดรตไขมัน โปรตีน และสารอื่น ๆ มากมาย (หลายที่ให้ค่ายา รวมทั้งคุณค่าทางโภชนาการ) ออกซิเจนจากใบไม้ทำให้อากาศระบายอากาศสำหรับสัตว์ อาหาร และปุ๋ยในการเปิดตัวพืชดินจึงควบคุมตนเองทางกายภาพและชีวภาพโรงงาน ใช้วัสดุตัวเองน้ำ และพลังงานแสงอาทิตย์ กำหนดชะตากรรมของฝนและหิมะถึงผิวดิน — ไม่ว่าจะการไหลของน้ำจึง ได้รับแผ่นดินเป็นไหลบ่าหรือ seep ลงอ่างเก็บน้ำใต้ดินเรียกว่าน้ำบาดาล ซึ่งในการเปิดการไหลคงที่ของสปริงและสตรีมด้วยความจุที่จำกัดในการดูดซับ และเก็บความชื้น ดินควบคุมทั้งหมดปรากฏการณ์เหล่านี้ ดินเป็นกันชน ฝนตกเหนือทวีปจะวิ่งทันที ผลิตน้ำท่วมมีความรุนแรง มากกว่าที่ยั่งยืนกระแสไหลดินตามธรรมชาติทำหน้าที่เป็นตัวกรองชีวิตซึ่งเชื้อโรคและสารพิษที่มิฉะนั้นอาจสะสมเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมภาคพื้นดินจะแสดงผลไม่เป็นอันตราย และ transmuted เป็นสารอาหาร ตั้งแต่เวลานมนาน มนุษย์ และสัตว์อื่น ๆ ที่มีการตายของลักษณะของโรค และได้รับแล้วฝังอยู่ในดิน ยังไม่มีโรคที่สำคัญจะถูกส่ง โดยมัน ยาปฏิชีวนะระยะแต่ง โดยชีววิทยาดิน ที่ เป็นผลมาจากการศึกษาของดินแบคทีเรียและ actinomycetes, streptomycin พบ (สำคัญรักษาสำหรับวัณโรคและติดเชื้ออื่น ๆ) แลกเปลี่ยนไอออน กระบวนการเป็นประโยชน์ของน้ำ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

อารยธรรมของเราขึ้นอยู่กับดินมากขึ้นอย่างยิ่งกว่าที่เคยเพราะเรา
ตัวเลขได้เติบโตขึ้นในขณะที่ทรัพยากรดินที่มีอยู่ได้ลดลงและเสื่อมโทรม.
ขัดแย้งอย่างไรก็ตามแม้ในขณะที่การพึ่งพาดินได้
เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ของเราได้กลายเป็นทางร่างกายและอารมณ์ออกจาก
มัน . ส่วนใหญ่ของคนที่อยู่ในที่เรียกว่า "การพัฒนา" ประเทศใช้
ชีวิตของพวกเขาในสภาพแวดล้อมเทียมเมือง, ฉนวนกันความร้อนจากการสัมผัสโดยตรง
กับธรรมชาติ เด็กหลายคนตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องของหลักสูตรว่าอาหารมา
ในซูเปอร์มาร์เก็ต.
ออกได้รับการอบรมความไม่รู้และออกจากความไม่รู้ได้มาหยิ่ง
เข้าใจผิดว่าอารยธรรมของเราได้เพิ่มขึ้นเหนือธรรมชาติและได้มีการกำหนดตัวเองฟรี
ของข้อ จำกัด ของมัน เกษตรและความมั่นคงด้านอาหาร, การกัดเซาะและการล้างด้วยน้ำเกลือความเสื่อมโทรม
ของระบบนิเวศธรรมชาติสูญเสียและมลพิษของน้ำผิวดินและ
ชั้นหินอุ้มน้ำและการสังหารของความหลากหลายทางชีวภาพ - กระบวนการเหล่านี้ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ
ดินโดยตรงหรือโดยอ้อมได้กลายเป็นนามธรรมเพียงเพื่อคนส่วนใหญ่.
ที่ดี ภาษาที่เราใช้ทรยศดูหมิ่นสำหรับวัสดุทั่วไปที่พื้น
มักจะเรียกว่า "ดิน." บางคนพ่อแม่ของจุกจิกห้ามเด็กของพวกเขา
จากการเล่นในโคลนและรีบเร่งในการล้างของพวกเขา "สกปรก" มือเมื่อ
เด็กยังคงปฏิบัติตามสัญชาตญาณธรรมชาติที่จะทำเช่นนั้น . จึงคุณค่าและ
ถือว่าเป็นมลทินสิ่งที่อยู่ในความเป็นจริงกลางหลักดินแดนบกของ
บริสุทธิ์นั้นเสียจะถูกย่อยสลายและการผลิตของธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง
พลังวังชา.
นักวิทยาศาสตร์ที่สามารถสังเกตดินมองเห็นหล่อเดือดที่สำคัญ
และพลังงานอยู่ในฟลักซ์อย่างต่อเนื่อง พลังงานสดใสจากดวงอาทิตย์ลำธารบน
สนามและลดหลั่นผ่านดินและพืชที่เติบโตอยู่ในนั้น ความร้อนจะถูก
แลกเปลี่ยนน้ำฝนไหลซึมในทางเดินที่ซับซ้อนของดินพืช
รากดูดน้ำและส่งไปยังใบของพวกเขาซึ่งรั่วมันกลับมา
สู่ชั้นบรรยากาศ ใบดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศและสังเคราะห์
ด้วยน้ำดินที่ได้มาในรูปแบบสารหลักของชีวิต: คาร์โบไฮเดรต
ไขมันโปรตีนและสารประกอบอื่น ๆ อีกมากมาย (หลายแห่งซึ่ง
ให้ยาเช่นเดียวกับคุณค่าทางโภชนาการ) ออกซิเจนปล่อยออกมาจากใบ
ทำให้อากาศระบายอากาศสำหรับสัตว์ที่กินและในทางกลับขุน
พืช.
ดินจึงเป็นบังคับตนเองโรงงานชีวฟิสิกส์, การใช้วัสดุของตัวเองของ
น้ำและพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ยังกำหนดชะตากรรมของปริมาณน้ำฝนและหิมะตก
ถึงพื้นดิน - ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่ได้รับจึงจะไหล
กว่าที่ดินเป็นที่ไหลบ่าหรือซึมลงไปอ่างเก็บน้ำใต้ดินที่เรียกว่า
. น้ำใต้ดินซึ่งจะยังคงไหลคงที่ของสปริงและลำธาร
ด้วยการ กำลังการผลิตที่ จำกัด ในการดูดซับและเก็บความชื้นดินควบคุมทั้งหมดของ
ปรากฏการณ์เหล่านี้ โดยไม่ใช้ดินเป็นบัฟเฟอร์ฝนตกมากกว่าทวีป
จะวิ่งออกทันที, การผลิตน้ำท่วมรุนแรงมากกว่าที่ยั่งยืน
ลำธารไหล.
ดินตามธรรมชาติทำหน้าที่เป็นตัวกรองที่อาศัยอยู่ในที่ที่เชื้อโรคและสารพิษที่
อาจสะสมเหม็นสภาวะบนพื้นโลกจะกลายเป็น
ไม่เป็นอันตรายและแปรสารอาหาร ตั้งแต่เวลานมนานมนุษย์และ
สัตว์อื่น ๆ ได้รับการตายจากลักษณะของโรคและได้รับแล้ว
ฝังอยู่ในดินที่ยังไม่มีการเกิดโรคที่สำคัญจะถูกส่งโดยมัน ยาปฏิชีวนะคำ
ประกาศเกียรติคุณเป็นนักจุลชีววิทยาของดินที่เป็นผลมาจากการศึกษาของพวกเขาจาก
แบคทีเรียในดินและ actinomycetes พบ streptomycin (การรักษาที่สำคัญ
สำหรับผู้ป่วยวัณโรคและการติดเชื้ออื่น ๆ ) การแลกเปลี่ยนไอออนซึ่งเป็นกระบวนการที่มีประโยชน์ของน้ำ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

อารยธรรมของเราขึ้นอยู่กับดินวมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเราตัวเลขเติบโตในขณะที่ทรัพยากรดินที่มีอยู่ได้ลดลงและเสื่อมโทรมขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม แม้การพึ่งพาของเราในดินได้เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ของเราได้กลายเป็นทางร่างกายและอารมณ์แยกออกจากมัน ส่วนใหญ่ของคนที่เรียกว่า " พัฒนา " ประเทศที่ใช้ชีวิตของพวกเขาในสภาพแวดล้อมเทียมเมือง , ฉนวนจากการสัมผัสโดยตรงธรรมชาติ หลายๆคนตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องของหลักสูตรอาหารนั้นมาในซุปเปอร์มาร์เก็ตปลดได้พันธุ์ไม่รู้ และความไม่รู้มาหยิ่งหลงผิดว่าอารยธรรมของเราได้เพิ่มขึ้นสูงกว่าธรรมชาติ และมีการตั้งค่าตัวเองฟรีมีข้อจำกัด การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร การกัดเซาะและ salination การสลายตัวของระบบนิเวศธรรมชาติร่อยหรอและมลพิษของน้ำผิวชั้น และทศนิยมของความหลากหลายทางชีวภาพ - กระบวนการเหล่านี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับดินโดยตรงหรือโดยอ้อม เป็นเพียงนามธรรมที่คนส่วนใหญ่เป็นภาษาที่เราใช้ทรยศเหยียดหยามโดยวัสดุบนพื้น ,มักจะเรียกว่า " ดิน " บางจู้จี้จุกจิกพ่อแม่ห้ามเด็กจากการเล่นในโคลน และรีบล้าง " สกปรก " มือเมื่อเด็กกระนั้นเชื่อฟังสัญชาตญาณตามธรรมชาติแล้ว จึงเป็นคุณค่าและถือว่าเป็นมลทิน สิ่งที่อยู่ในความเป็นจริงของอาณาจักรใหญ่ปานกลางบริสุทธิ์ ซึ่งจะย่อยสลายของเสียและการเพิ่มผลผลิตของธรรมชาติอย่างต่อเนื่องสดชื่นนักวิทยาศาสตร์ผู้สังเกตดินเห็นฉุนโรงหล่อที่เรื่องและพลังงานที่อยู่ในฟลักซ์คงที่ . พลังงานที่เกิดจากการแผ่รังสีจากดวงอาทิตย์ไปยังลำธารสนามและน้ำตกผ่านดินและพืชที่ปลูกใน ความร้อนคือแลกเปลี่ยน , น้ำฝนได้กรองในทางเดินที่ซับซ้อนของดินพืชรากดูดน้ำและส่งมันให้ใบของพวกเขาที่ปรากฏกลับในบรรยากาศ ใบดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ และสังเคราะห์กับดินและน้ำในรูปแบบสารประกอบหลักของชีวิต : คาร์โบไฮเดรตไขมัน โปรตีน และสารประกอบอื่น ๆ มากมายหลาย ( ซึ่งให้ยา รวมทั้งคุณค่าทางโภชนาการ ) ออกซิเจนออกมาจากใบทำให้อากาศหายใจสำหรับสัตว์ที่เลี้ยง และในทางกลับปุ๋ยพืชดินจึงเป็นโรงงานเองควบคุมทางชีวกายภาพ การใช้วัสดุของตนเองน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์ มันยังเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของฝนและหิมะตกถึงผิวดินไม่ว่าจะได้รับจึง - น้ำจะไหลบนที่ดินเป็นดินหรือซึมลงสู่ใต้ดินน้ำที่เรียกว่าน้ำใต้ดิน ซึ่งจะรักษาไหลคงที่ของน้ำพุและลำธาร .มีความจุในการดูดซับความชื้นและมีร้าน ดินควบคุมทั้งหมดของปรากฏการณ์เหล่านี้ โดยที่ดินที่เป็นบัฟเฟอร์ ฝนตกทั่วทวีปจะหนีไปทันที ผลิต น้ำท่วมค่อนข้างรุนแรงกว่าอย่างยั่งยืนกระแสไหลดินธรรมชาติทำหน้าที่เป็นกรองเชื้อโรคและสารพิษที่อยู่ในนั้นมิฉะนั้นอาจสะสม สกปรก สิ่งแวดล้อม ภาคพื้นดิน จะแสดงไม่เป็นอันตรายและแปรสภาพเป็นสารอาหาร ตั้งแต่โบราณกาล มนุษย์ และสัตว์อื่น ๆได้ตายจากลักษณะของโรค และได้ถูกฝังอยู่ในดิน ยังไม่มีสาขาโรคจะถูกส่งโดย คำว่ายาปฏิชีวนะตั้งขึ้นโดย microbiologists ดินที่เป็นผลของการศึกษาของพวกเขาแบคทีเรียในดินและแอคติโนมัยซีท ค้นพบยารักษา ( การรักษาที่สำคัญสำหรับวัณโรค และการติดเชื้ออื่น ๆ ) การแลกเปลี่ยนไอออน , กระบวนการที่เป็นประโยชน์ของน้ำ