การออกกำลังกายในเด็กที่เหมาะสมตามวัย
ปัจจุบันนี้เรามีเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทันสมัยทำให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น แต่ในทางกลับกันก็ส่งผลทำให้การมีกิจวัตรประจำวัน ซึ่งรวมไปถึงการออกกำลังกายหรือกิจกรรมต่าง ๆ.....
การออกกำลังกายในเด็กที่เหมาะสมตามวัย
ปัจจุบันนี้เรามีเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทันสมัยทำให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น แต่ในทางกลับกันก็ส่งผลทำให้การมีกิจวัตรประจำวัน ซึ่งรวมไปถึงการออกกำลังกายหรือกิจกรรมต่าง ๆ ลดน้อยลงไป โดยผลกระทบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ใหญ่ แต่ยังส่งผลกระทบไปถึงเด็กและวัยรุ่นด้วย เด็ก ๆ สมัยนี้ส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่หน้าจอทีวี พูดคุยโทรศัพท์ และใช้คอมพิวเตอร์มากกว่าที่จะออกไปวิ่งเล่น หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ดังนั้นเป็นหน้าที่สำคัญของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องคอยดูแลและสนับสนุนส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้มีการออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็ก ๆ ในแต่ละวัยด้วย
จะสังเกตได้ว่าในช่วงระยะสิบปีที่ผ่านมา มีเด็กที่มีปัญหาทางสุขภาพเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอาจจะพบเห็นเด็กที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ เป็นโรคที่เกี่ยวกับทางด้านภูมิแพ้ หรืออาจจะไม่สบายบ่อย ๆ จนบางทีต้องไปพบแพทย์สองครั้งสามครั้งต่อเดือน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นตัวบอกได้อย่างดีว่าเด็ก ๆ ควรจะต้องมีการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อจะได้ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรง เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้การออกกำลังกายที่เหมาะสมยังช่วยกระตุ้นและส่งเสริมระดับพัฒนาการของเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจให้มีประสิทธิภาพที่ดีเหมาะสมตามวัยด้วย
หัวใจสำคัญของการร่วมกิจกรรม และการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายในเด็กจะไม่ได้เป็นในลักษณะเดียวกันกับของผู้ใหญ่ ที่ถ้าจะออกกำลังกายต้องไปออกกำลังกายตาม fitness club อย่างการยกน้ำหนัก เข้าร่วมแอโรบิคคลาส หรือโยคะ เป็นต้น การออกกำลังกายในเด็กจะหมายถึง การละเล่น การเล่นเกมกลางแจ้ง รวมไปถึงกิจกรรมและสันทนาการต่าง ๆ และการเล่นกีฬาในแต่ละชนิดที่เหมาะสมตามวัย เช่น การว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือเทนนิส และกอล์ฟ ซึ่งกำลังเป็นกีฬายอดฮิตอยู่ในขณะนี้ แต่หัวใจที่สำคัญสำหรับเด็ก ๆ ที่ต้องการจากการมีกิจกรรมเหล่านี้ คือความสนุกสนาน และความชอบในการร่วมกิจกรรม เพราะสาเหตุส่วนใหญ่ที่เด็กไม่อยากออกกำลังกายหรือเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ก็เพราะไม่มีความชอบและไม่รู้สึกสนุกกับการออกำลังกาย
ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะต้องให้ความสำคัญสำหรับจุดนี้เป็นหลัก และไม่ควรที่จะเน้นในเรื่องของการเปรียบเทียบระดับความสามารถกับเด็กคนอื่น ๆ หรือให้ความสำคัญของผลแพ้-ชนะเป็นสำคัญ เพราะจะยิ่งทำให้เด็กรู้สึกกดดันและไม่รู้สึกสนุกกับกิจกรรมนั้น แต่ควรจะดูในเรื่องของความเหมาะสมตามความสามารถ ประสบการณ์ และพัฒนาการมากกว่า ขณะเดียวกันเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้พบเห็น เรียนรู้กับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ รวมถึงได้รู้จักกับเพื่อนใหม่อีกด้วย
ประเภทของกิจกรรมและการออกกำลังกายที่เหมาะสมในแต่ละวัย
สิ่งสำคัญในการเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมในแต่ละวัย ให้นึกถึงระดับพัฒนาการและความสามารถของเด็กในแต่ละช่วงอายุด้วย
อายุ 2-6 ขวบ
เด็กในวัยนี้เริ่มมีการเรียนรู้ และมีพัฒนาการพื้นฐานทางด้านการวิ่งการกระโดด (กระต่ายขาเดียว และกระโดดสองขา) การขว้าง และการรับกิจกรรมที่เหมาะสมควรจะเน้นทางพัฒนาการดังที่กล่าวมา เช่น วิ่งไล่จับ กระโดดเชือก เตะลูกบอล กลิ้งม้วนหน้า หรือการปีนป่ายเครื่องเล่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยานโดยมีล้อช่วยการทรงตัว ขว้างรับจานร่อน หรือลูกบอล เป็นต้น
สำหรับในวัยนี้ยังไม่แนะนำให้มีการออกกำลังกายที่เป็นกิจจะลักษณะ ควรจะเน้นในลักษณะของกิจกรรมที่สอดคล้องกับพัฒนาการ และความชอบของเด็ก รวมถึงความสนุกสนานที่เด็กจะได้จากการมีกิจเหล่านี้ด้วย
อายุ 7-10 ขวบ
เด็กส่วนใหญ่ในวัยนี้จะมีพัฒนาการพื้นฐานทางด้านการเคลื่อนไหวที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
อาจเริ่มให้เข้าร่วมทำกิจกรรมที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น โดยอาจจะเป็นกิจกรรมที่มีการแบ่งข้างเล่นกันเป็นทีม อธิบายถึงกฎกติกาอย่างง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากจนเกินไป และควรเน้นกิจกรรมจากเดิมที่เคยเล่นอยู่ให้มีความแม่นยำมากขึ้น หรือฝึกทักษะให้ดีขึ้น เช่น เปลี่ยนจากการโยนรับลูกบอลธรรมดาให้เป็นการโยนลูกบอลให้ลงห่วงหรือตะกร้า เตะลูกบอลให้เข้าประตูหรือไกลขึ้นกว่าเดิมเป็นต้น
กิจกรรมและการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับวัยนี้ ได้แก่ การขี่จักรยานโดยไม่มีล้อช่วยการทรงตัว แบดมินตัน เทนนิส ปิงปอง ยิมนาสติก แข่งฟุตบอล เป็นต้น
อายุ 10 ขวบขึ้นไป
ด้วยวัยนี้พัฒนาการต่าง ๆ ของเด็ก และวัยรุ่นมีเพียงพอที่จะเข้าร่วมกิจกรรมได้ทุกชนิดที่เด็ก ๆ หรือวัยรุ่นสามารถเข้าร่วมได้ รวมไปถึงกิจกรรมหรือการออกกำลังกายที่ยุ่งยากซับซ้อน และการแข่งขันในกีฬาประเภทต่าง ๆ ซึ่งในวัยนี้การออกกำลัยกายที่เป็นกิจจะลักษณะสามารถทำได้ แต่จะต้องเหมาะสมกับความสามารถ และเน้นในเรื่องของข้อควรระวังและความปลอดภัยเป็นหลัก โดยเฉพาะการออกกำลังกายในลักษณะ aerobic exercise และ resistance training
วิธีการออกกำลังกายในลักษณะ aerobic exercise และ resistance training
การออกกำลังกายในลักษณะ aerobic exercise ที่เหมาะสมได้แก่การวิ่ง การปั่นจักรยาน พายเรือ ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การเข้าร่วมออกกำลังกายต่าง ๆ ในโรบิกคลาส ความหนัก (intensity) ของการออกกำลังกายควรอยู่ที่ระดับปานกลาง ไม่ควรหนักมากจนเกินไป ความถี่ (frequency) ของการออกกำลังกายไม่ควรน้อยกว่า 3 สัปดาห์ โดยที่มีระยะเวลาพัก (recovery period) ระหว่างการออกกำลังกายในแต่ละครั้งอย่างน้อยที่สุดหนึ่งวัน ระยะเวลา(duration) ในการออกกำลังกายแต่ละครั้งไม่ควรเกินกว่า 30 นาที และที่สำคัญควรจะมีการสลับสับเปลี่ยนลักษณะ (type) ของการออกกำลังกายหลาย ๆ รูปแบบเพื่อให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มีการใช้อย่างทั่วถึงทุก ๆ ส่วน และเป็นการรักษาระดับความสนใจในการออกกำลังกายไม่ให้เกิดความรู้สึกเบื่อ
สำหรับ resistance training ควรจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากครูฝึก หรือคนที่มีความรู้ที่เหมาะสม ซึ่งหลักการที่สำคัญในเบื้องต้นนี้