18 กันยายน 2013
รายงานโดย อิสรนันท์
นอกเหนือจากญี่ปุ่นแล้ว สหรัฐฯ ซึ่งอาศัยความสัมพันธ์พิเศษในฐานะพันธมิตรเก่าแก่ของฟิลิปปินส์ได้ลักลอบนำขยะพิษมาทิ้งในประเทศฟิลิปปินส์นี้เช่นกัน ดังรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศที่ว่า ระหว่างที่กองเรือรบของสหรัฐฯ เปิดฉากซ้อมรบในน่านน้ำฟิลิปปินส์นั้น เรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แอบทิ้งสารพิษลงไปในอ่าวซูบิก อดีตฐานทัพเรือของสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้กลายเป็นท่าเรือเสรี เป็นเหตุให้ท่าเรือแห่งนี้ปนเปื้อนไปด้วยสารพิษ ทำให้กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและคนในท้องถิ่นต่างตื่นตัวเรียกร้องให้สหรัฐฯ ต้องรับผิดชอบ
จากแรงกดดันของคนในพื้นที่ทำให้กองทัพเรือสหรัฐฯ ต้องลงมือสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สุดท้ายก็ปัดความรับผิดชอบไปที่บริษัทเดินเรือ Glenn Defense Marine Asia ที่มาเลเซียเป็นเจ้าของ แต่มีอดีตนายทหารเรือใหญ่ของฟิลิปปินส์หลายคนเป็นกรรมการบริหาร ในฐานะที่เป็นบริษัทรับช่วงกำจัดของเสียจากเรือรบอเมริกันที่เทียบท่าที่อ่าวซูบิกนับตั้งแต่ปี 2552 เฉพาะปีนี้มีเรือรบอเมริกัน 37 ลำใช้บริการของบริษัทนี้
แอฟริกา: สวรรค์ของบ่อขยะพิษใหญ่ที่สุดในโลก
european-e-waste-arrives-illegที่มาภาพ : http://www.greenpeace.org/new-zealand/Global/new-zealand/External/image/2009/2/european-e-waste-arrives-illeg.jpg
ที่มาภาพ: http://www.greenpeace.org
ในบรรดาประเทศทั้งที่พัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนาที่ต้องกลายสภาพเป็นบ่อขยะพิษใหญ่สุดโดยไม่ปรารถนาแม้แต่น้อยนั้น หลายประเทศในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก อาทิ ไนจีเรียและกานา กำลังได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ที่ปลอดภัยที่สุดที่จะทิ้งขยะพิษโดยไม่ผิดกฎหมายหรือไม่ถูกตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรทัศน์ มือถือ และคอมพิวเตอร์ โดยอาจจะทำอย่างเนียนๆ ในรูปของสิ่งของบริจาค หรือขายเป็นสินค้ามือสองราคาถูกที่มีอายุการใช้งานแสนสั้น จากนั้นก็แปรสภาพเป็นขยะพิษโดยปริยาย โดยรัฐบาลประเทศเหล่านั้นไม่สามารถบังคับให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกำจัดขยะพิษด้วยวิธีที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานได้ ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดสารตะกั่ว (ส่วนประกอบในการบัดกรีในแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หลอดภาพรังสีแคโทด (CRT) ถ้าได้รับในปริมาณมากก็จะทำลายระบบประสาทส่วนกลาง การทำงานของไต รวมไปถึงต่อการพัฒนาสมองของเด็ก) แคดเมียม (มักพบในแผ่นวงจรพิมพ์ ตัวต้านทาน และหลอดภาพรังสีแคโทด สารนี้จะสะสมในร่างกายโดยเฉพาะที่ไต ทำลายระบบประสาท ส่งผลต่อพัฒนาการหรืออาจมีผลกระทบต่อพันธุกรรม) สารปรอทพลาสติก (มักพบในตัวตัดความร้อน สวิตช์ และจอแบน จะส่งผลในการทำลายอวัยวะต่างๆ รวมทั้งสมอง ไต และเด็กในครรภ์)
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ทวีปนี้กลายเป็นบ่อขยะพิษที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเพราะประเทศต่างๆ ทั่วทั้งทวีปนี้ต่างไม่มีกฎหมายว่าด้วยการกำจัดขยะพิษอย่างถูกวิธีเพื่อความปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ยกเว้นแอฟริกาใต้เพียงประเทศเดียวที่มีกฎหมายครอบคลุมในเรื่องของขยะพิษ ส่วนเคนยากำลังเสนอร่างกฎหมายว่าด้วยแนวทางการกำจัดขยะพิษ คาดว่าอาจจะมีผลบังคับใช้ภายใน 2-3 ปีนี้
ข้อที่น่าสังเกตประการหนึ่งก็คือ ขยะพิษเกือบทั้งหมดในทวีปแอฟริกานำเข้ามาจากกลุ่มประเทศในยุโรป ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นทวีปที่ผลิตขยะพิษในปริมาณมหาศาลในแต่ละปี และล้วนแต่มีกฎหมายคุมเข้มว่าด้วยมาตรฐานการกำจัดขยะพิษทั้งในบ้านและนอกบ้าน อาทิ ห้ามฝังกลบเนื่องจากไม่ปลอดภัย หรือห้ามส่งออกไปยังประเทศที่สาม เป็นต้น ที่สำคัญก็คือ บังคับให้ผู้ผลิตต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวม กู้คืน และกำจัดขยะพิษเหล่านั้น อาจจะด้วยวิธีแปรรูป หรือนำไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี รวมไปถึงการรณรงค์ให้ผู้ผลิตปรับปรุงการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น
แต่ด้วยความมักง่าย เห็นแก่ตัว และเพื่อประหยัดงบประมาณก้อนใหญ่ ประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษและเยอรมนี ประเทศที่ผลิตขยะพิษมากเป็นอันดับ 3 ของโลก กลับใช้วิธีส่งออกสินค้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มือสองไปยังแอฟริกาทุกวันแทน แม้จะมีกฎหมายห้ามการส่งออกขยะพิษก็ตาม เกือบทั้งหมดของขยะพิษที่ส่งออกไปส่วนใหญ่จะเสื่อมสภาพ มีบ้างที่พอจะใช้งานได้หรือนำกลับมาซ่อมได้ แต่มีอายุใช้งานแสนสั้นแค่ปีสองปี จากนั้นก็กลายเป็นขยะพิษ และกลายเป็นภาระใหญ่ของประเทศด้อยพัฒนาเหล่านั้นที่จะกำจัดขยะพิษด้วยวิธีง่ายๆ เนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในชุมชนและต่อสิ่งแวดล้อม
ที่มาภาพ : http://www.independent.co.uk
ที่มาภาพ : http://www.independent.co.uk
เพื่อจะตรวจสอบเส้นทางการลักลอบส่งออกขยะพิษไปยังแอฟริกา หนังสือพิมพ์ ดิ อินดิเพนเดนท์, โทรทัศน์สกายนิวส์ในอังกฤษ และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกรีนพีซ ได้ร่วมกันติดตามเส้นทางนี้ ด้วยการแอบติดตั้งอุปกรณ์ระบุพิกัดไว้ที่โทรทัศน์เก่าเครื่องหนึ่งที่เสียจนใช้การไม่ได้และถูกปล่อยทิ้งไว้ในศูนย์พัฒนาแห่งหนึ่งของสภาเทศบาลแฮมเชียร์ สภาเทศบาลแห่งนี้ได้ขายต่อโทรทัศน์เสียเครื่องนี้ให้กับบริษัทรับซื้อขยะพิษแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทนับสิบๆ บริษัทที่รับซื้อขยะพิษรวมแล้วหนักราว 940,000 ตันในแต่ละปี เพื่อรอการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี แต่กลับลักลอบส่งออกไปยังประเทศที่สามพร้อมกับขยะพิษจำนวน 15 ลำเรือ มุ่งหน้าจากท่าเรือเอสเซ็กซ์และท่าเรือต่างๆ ในยุโรปและเอเชียไปแอฟริกาในแต่ละวัน ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมของอังกฤษ โทรทัศน์เก่าเครื่องนี้ถือเป็นขยะพิษที่ห้ามนำออกจากประเทศ แต่เพียงแค่แจ้งว่าเป็นสินค้ามือสองก็กลับส่งออกได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ยิ่งกว่านั้น ผลการตรวจสอบขยะพิษทั้ง 15 ลำเรือพบว่าอย่างน้อย 1 ใน 3 ของสินค้านั้นล้วนแต่แตกหักใช้การไม่ได้ พร้อมจะถูกทิ้งที่บ่อขยะพิษ เพื่อให้คนท้องถิ่นจัดการแยกชิ้นส่วนตามมีตามเกิด ปราศจากหลักประกันในเรื่องความปลอดภัยใดๆ ทั้งสิ้น
ในส่วนเส้นทางของโทรทัศน์เก่าเครื่องนั้นได้ไปสิ้นสุดที่ตลาดอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่ในกรุงลากอส ประเทศไนจีเรีย ที่อยู่ห่างออกไปราว 4,500 ไมล์ จากนั้นถูกขายต่อง่ายๆ ในฐานะสินค้ามือสอง เนื่องจากสามารถดัดแปลงเป็นอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียมได้ โดยกรีนพีซได้จัดการซื้อกลับมา เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันถึงเส้นทางการลักลอบส่งออกขยะพิษอย่างปราศจากความรับผิดชอบใดๆ พร้อมกับประนามผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่รับผิดชอ