เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปราปการทุจริตแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องโทษประหารชีวิตที่อยู่ในมาตรา 123/2 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ส. 2558 (ฉบับที่ 3) เป็นการกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ที่ระบุว่าผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษจำคุก 5 ปีถึง 20 ปีและปรับตั้งแต่ 2,000บาทถึง 40,000 บาทหรือประหารชีวิต ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่ได้เป็นบทบัญญัติที่ป.ป.ช.กำหนดเองแต่ประการใด
นายสรรเสริญ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติตามมาตรา 149 ดังกล่าวยังครอบคลุมไม่มากเพียงพอเนื่องจากหากเกิดเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับสินบนในกรณีที่ตนเองไม่มีหน้าที่หรืออำนาจก็จทำให้ไม่มีความผิดตามาตรา149 ซึ่ง อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ส. 2003 (ยูเอ็นซีเอซี) เห็นว่าไทยในฐานะที่เป็นภาคีในอนุสัญญาฉบับนี้ควรมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การปราบปรามการเรียกรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐมีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
เมื่ถามว่ากฎหมายข้อนี้ร้ายแรงเกินไปและถือเป็นเรื่องที่กระทบต่อสิทธิมนุษยชนหรือไม่ นายสรรเสริญ กล่าวว่า ไม่กระทบสิทธิมนุษยชนแน่นอน เพราะข้อหาเรียกรับสินบนของข้าราชการ หน่วยงานรัฐถือเป็นความผิดร้ายแรงอยู่แล้ว ดังนั้นการไม่ทุจริตจึงถือเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 14 กรกฎาคม นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.ได้มอบหมายให้นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช.จะแถลงข่าวในประเด็นดังกล่าวเพื่อทำความเข้าใจตรงกัน