Stress in the WorkplaceThat the str

Stress in the Workplace
That the stress response can have a positive or negative effect on performance
is explained, in part, by an inverted-U hypothesis, where the effect of stress on
performance depends on the intensity of the stress experienced. This hypothesis
is derived from Yerkes and Dodson’s (1908)famous theory that a curvilinear
relationship exists between physiological arousal (one component of stress)
and performance. This theory, known as the Yerkes-Dodson Law, proposes
that extremely low and extremely high levels of stress are both related to low
performance outcomes. Moderate levels of stress and arousal, on the other
hand, are more likely to be associated with optimal performance outcomes. The
optimum level of stress for effective performance is not fixed, however. AsSeyle
(1976) has noted, optimum levels vary across individuals and between tasks.
Furthermore, optimal arousal levels vary as a function of task difficulty (Hendy,
East & Farrell, 2001). As task difficulty increases, the level of arousal considered
for optimal performance decreases. Thus, it seems that the performance effects of
stress depend not only on the intensity of the stress experienced, but also on the
nature of the environmental demand, task, or stressor. Indeed,Beehr and Newman
(1978) note that “the relationship between stress and measures of effectiveness
may vary by type of stressor, and/or the type of performance measured” (p.
690). For example, one stressor, role uncertainty, typically decreases individual
performance (Steiner, 1972), while stressors such as time pressures (deadlines)
tend to increase individual performance (Riley & Zaccaro, 1987).
Not only may the type of stressor affect differences in intra-individual
performance, but also the intensity of the stress experienced. Individuals differ
in the nature of their emotional responses to stress, and as a consequence, the
impact of their emotions on their ability to cope under stress. Individuals also,
however, each experience varying levels of emotional stress depending on their
emotional vulnerability, which fluctuates with environmental contingencies. Thus,
an individual may have the emotional resources to cope with job insecurity in the
morning but, as the day progresses, and emotional coping resources are depleted,
that same individual may be unable to regulate the intensity of his/her emotions,
and hence it becomes more likely that affect will interfere with performance.
Lazarus and Folkman (1984)contend that it is neither the stressor nor the intensity or duration of the stress that predicts the outcome of stress on performance.
On the basis of a cognitive-motivational theory of the stress response process,
Lazarus and Folkman proposed that it is the individuals’ appraisal of the stressor
and method of coping with the stressor that determined the effects of stress on
behavior. This leads us to our next topic, the role of appraisal in stress.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ความเครียดในที่ทำงาน
ที่ตอบสนองต่อความเครียดจะมีผลบวกหรือลบต่อ
ประสิทธิภาพการทำงานจะอธิบายในส่วนโดยสมมติฐานคว่ำ-u ที่ผลกระทบของความเครียดในการทำงาน
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความเครียดที่มีประสบการณ์
สมมติฐานนี้มาจาก Yerkes และดอด (1908) ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงที่ curvilinear
ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างความตื่นตัวทางสรีรวิทยา (องค์ประกอบหนึ่งของความเครียด)
และประสิทธิภาพการทำงาน ทฤษฎีนี้เป็นที่รู้จักกัน Yerkes-ดอดกฎหมายแนะ
ว่าระดับต่ำมากและสูงมากของความเครียดมีทั้งที่เกี่ยวข้องไปต่ำ
ผลการดำเนิน ปานกลางระดับความเครียดและความตื่นตัวในมือ
อื่น ๆ มีแนวโน้มที่จะเชื่อมโยงกับผลการดำเนินที่ดีที่สุด
ระดับที่เหมาะสมของความเครียดในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพจะไม่คงที่ แต่ asseyle
(1976) ได้ตั้งข้อสังเกตในระดับที่เหมาะสมแตกต่างกันในแต่ละบุคคลและในระหว่างการทำงาน.
นอกจากนี้ระดับความตื่นตัวที่เหมาะสมแตกต่างกันไปในขณะที่ฟังก์ชั่นของความยากลำบากงาน (Hendy
ตะวันออก& Farrell, 2001) ตามการเพิ่มความยากลำบากในการทำงานระดับของการเร้าอารมณ์ถือว่า
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดลดลง ดังนั้นดูเหมือนว่าผลการปฏิบัติงานของความเครียด
ไม่เพียง แต่ขึ้นอยู่กับความเข้มของความเครียดที่มีประสบการณ์ แต่ยังอยู่กับธรรมชาติ
ของความต้องการด้านสิ่งแวดล้อมงานหรือแรงกดดัน แน่นอน Beehr และนิวแมน
(1978) ทราบว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและมาตรการ
ประสิทธิภาพอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของของแรงกดดันและ / หรือชนิดของการปฏิบัติงานวัด" (พี 690
) ตัวอย่างเช่นหนึ่งแรงกดดัน,ความไม่แน่นอนบทบาทมักจะลดประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละคน
(Steine​​r, 1972) ในขณะที่ความเครียดเช่นแรงก​​ดดันเวลา (เส้นตาย)
มีแนวโน้มที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละบุคคล (Riley & Zaccaro, 1987).
ไม่เพียง แต่ชนิดของแรงกดดันอาจมีผลต่อความแตกต่างในภายใน แต่ละ
ประสิทธิภาพ แต่ยังความรุนแรงของความเครียดที่มีประสบการณ์ บุคคลที่แตกต่างกัน
ในลักษณะของการตอบสนองทางอารมณ์ของพวกเขาต่อความเครียดและเป็นผลให้ผลกระทบ
จากอารมณ์ของพวกเขาความสามารถในการรับมือภายใต้ความเครียด บุคคลที่ยัง
แต่ประสบการณ์ที่แตกต่างกันในระดับของความเครียดทางอารมณ์ขึ้นอยู่กับช่องโหว่ของพวกเขา
อารมณ์ซึ่งสภาพแวดล้อมที่มีภาระผูกพันในแต่ละด้านสิ่งแวดล้อม จึง
แต่ละคนอาจมีทรัพยากรทางอารมณ์ที่จะรับมือกับความไม่มั่นคงในการทำงานในตอนเช้า
แต่เป็นวันดำเนินการและทรัพยากรการเผชิญปัญหาทางอารมณ์จะหมด
ว่าบุคคลเดียวกันอาจจะไม่สามารถที่จะควบคุมความเข้มของ / ความรู้สึกของเธอของเขา
และด้วยเหตุนี้ มันจะกลายเป็นแนวโน้มที่มีผลต่อจะยุ่งเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงาน.
ลาซารัสและ folkman (1984) ยืนยันว่ามันไม่เป็นแรงก​​ดดันหรือความรุนแรงหรือระยะเวลาของความเครียดที่คาดการณ์ว่าผลของความเครียดในการปฏิบัติงาน.
บนพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้แรงบันดาลใจของขั้นตอนการตอบสนองต่อความเครียด
ลาซารัสและ folkman เสนอว่ามันคือการประเมินบุคคลของแรงกดดัน
และวิธีการของการรับมือกับแรงกดดันที่กำหนดผลกระทบของความเครียดที่มีต่อพฤติกรรม
นี้นำเราไปสู่​​หัวข้อถัดไปของเราในบทบาทของการประเมินความเครียด

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ความเครียดในทำงาน
ที่ตอบสนองต่อความเครียดได้ผลเป็นบวก หรือลบประสิทธิภาพ
คืออธิบาย ในส่วน โดยสมมติฐาน U กลับ ซึ่งผลของความเครียดบน
ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความเครียดที่พบได้ สมมติฐานนี้
มา Yerkes และของ Dodson (1908) มีชื่อเสียงทฤษฎีที่แบบ curvilinear
มีความสัมพันธ์ระหว่างสรีรวิทยาเร้าอารมณ์ (ส่วนประกอบหนึ่งของความเครียด)
และประสิทธิภาพ เสนอทฤษฎีนี้ เรียกว่ากฎหมาย Yerkes Dodson
ที่ ต่ำมาก และสูงมากระดับความเครียดมีทั้งที่เกี่ยวข้องกับต่ำ
ผลประสิทธิภาพการทำงาน บรรเทาความเครียดและเร้าอารมณ์ อีกระดับของ
มือ มีแนวโน้มที่จะเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ใน
ระดับของความเครียดสำหรับประสิทธิภาพที่เหมาะสมคือไม่คง อย่างไรก็ตาม AsSeyle
(1976) มีไว้ ระดับที่เหมาะสมแตกต่างกัน ระหว่างบุคคล และ ระหว่างงาน
ระดับเร้าอารมณ์ที่เหมาะสมแตกต่างกันไปนอกจากนี้ เป็นฟังก์ชันของความยากของงาน (Hendy,
ตะวันออก&ฟาร์เรล 2001) เป็นงานยากขึ้น พิจารณาระดับของการเร้าอารมณ์
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดลด ดังนั้น เหมือนที่ผลกระทบประสิทธิภาพของ
เครียดขึ้นอยู่กับความรุนแรง ของความเครียดที่มีประสบการณ์ แต่ยังไม่เท่าการ
ธรรมชาติของความต้องการสิ่งแวดล้อม งาน หรือ stressor สังเกตว่า จริง Beehr และ Newman
(1978) "ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและการวัดประสิทธิภาพ
อาจแตกต่างกันไปตามชนิดของ stressor หรือชนิดของวัดประสิทธิภาพการทำงาน" (p.
690) ตัวอย่าง stressor หนึ่ง บทบาทความไม่แน่นอน โดยทั่วไปลดละ
ประสิทธิภาพ (Steiner, 1972), ในขณะที่ลดเช่นเวลากดดัน (สิ้น)
มีแนวโน้มที่จะ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแต่ละ (&สนุกเกอร์ Zaccaro, 1987) .
ไม่เพียงแต่ อาจมีผลชนิดของ stressor ต่อความแตกต่างในแต่ละอินทรา
ประสิทธิภาพ แต่ความรุนแรงของความเครียดที่พบได้ บุคคลแตกต่างกัน
ในลักษณะของการตอบรับทางอารมณ์ความเครียด และ เป็น สัจจะ การ
ผลกระทบของอารมณ์ของตนเพื่อรับมือภายใต้ความเครียด บุคคลยัง,
อย่างไรก็ตาม แต่ละประสบการณ์ระดับต่าง ๆ ของความเครียดทางอารมณ์ขึ้นอยู่กับความ
ช่องโหว่ทางอารมณ์ การแกว่งไปมากับ contingencies สิ่งแวดล้อม ดังนั้น,
บุคคลอาจมีทรัพยากรทางอารมณ์เพื่อรับมือกับความไม่มั่นคงในงานในการ
เช้าแต่ ยะวัน และทรัพยากรจะพร่อง เผชิญอารมณ์
บุคคลเดียวกันอาจไม่สามารถควบคุมความเข้มของอารมณ์เขา/เธอ,
และดังนั้น มันจะมีแนวโน้มที่ส่งผลต่อจะส่งผลต่อประสิทธิภาพได้
ลาซาและ Folkman (1984) ขอยืนยันว่า มันคือไม่ stressor ที่ หรือความรุนแรง หรือระยะเวลาของความเครียดที่ทำนายผลของความเครียดบนประสิทธิภาพ
ตามทฤษฎีการตอบสนองต่อความเครียด การรับรู้หัด
ลาซาและ Folkman เสนอว่า เป็นบุคคลเพื่อประเมินผลของการ stressor
และวิธีการรับมือกับ stressor ซึ่งกำหนดผลกระทบของความเครียดบน
ทำงาน นี้นำเราไปของเราหัวข้อถัดไป บทบาทของการประเมินความเครียด

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในสถานที่ทำงานที่ตอบสนองความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดผลในทางบวกหรือลบใน ประสิทธิภาพ การทำงานจะมีการอธิบายไว้อย่างละเอียดใน
ซึ่งจะช่วยส่วนหนึ่งมาจากข้อสมมุติฐานกลับด้าน - U ที่มีผลบังคับใช้ของความตึงเครียดบน
ซึ่งจะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพ ขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงที่มีประสบการณ์ของความตึงเครียดที่เกิดขึ้น สมมติฐานนี้
ที่ได้รับมาจาก yerkes และ dodson ของ( 1908 )ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงที่ curvilinear
ความสัมพันธ์ระหว่างมุ่งกระตุ้นเรื่องทางสรีรวิทยาจากสนามแม่เหล็ก(หนึ่งในส่วนประกอบของความเครียด)
และ ประสิทธิภาพ การทำงาน ทฤษฎีแห่งนี้ซึ่งรู้จักกันในชื่อ yerkes-dodson กฎหมายที่เสนอ
ซึ่งจะช่วยให้ระดับต่ำเป็นอย่างมากและสูงเป็นอย่างมากของความเครียดมีทั้งที่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ต่ำ
ซึ่งจะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพ ระดับปานกลางของมุ่งกระตุ้นเรื่องและความตึงเครียดบนอื่นๆ
มือที่มีแนวโน้มที่จะเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ ประสิทธิภาพ การทำงานได้อย่างเต็ม ประสิทธิภาพ ที่
ตามมาตรฐานระดับสูงสุดของความเครียดสำหรับ ประสิทธิภาพ สูงไม่คงที่แต่ถึงอย่างไรก็ตาม asseyle
( 1976 )ได้ระบุไว้แตกต่างกันไปตามระดับสูงสุดและในแบบเฉพาะรายระหว่างงาน.
ยิ่งไปกว่านั้นระดับมุ่งกระตุ้นเรื่องดีที่สุดแตกต่างกันไปเป็นการยากงาน( hendy
ทางด้านทิศตะวันออก& Farrell Streets 2001 ) เป็นการเพิ่มระดับความยากของงานมุ่งกระตุ้นเรื่องได้รับการพิจารณาให้
ซึ่งจะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพ การใช้งานให้ลดลง ดังนั้นดูเหมือนกับว่าผลการทำงานของ
ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดขึ้นอยู่กับไม่เฉพาะในความเข้มแสงที่มีประสบการณ์ของความตึงเครียดที่เกิดขึ้นแต่ยังมีอยู่ใน
ทางธรรมชาติที่มีความต้องการด้านสิ่งแวดล้อมงานหรือ stressor จริงๆแล้ว, beehr และ University Newman University
( 1978 )บันทึกไว้ด้วยว่า"ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและมาตรการมี ประสิทธิภาพ
อาจแตกต่างกันไปตาม ประเภท ของ stressor ,และ/หรือ ประเภท ของ ประสิทธิภาพ ที่วัดได้นั้นทำ"( p .
690 ) ตัวอย่างเช่น stressorโดยปกติแล้วจะช่วยลดความไม่แน่นอนมีบทบาทแบบเฉพาะราย
ซึ่งจะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพ (หนังดุดัน 1972 )ในขณะที่ stressors เช่นแรงกดดันเวลา(ตามกำหนดเวลา)
มีแนวโน้มที่จะเพิ่ม ประสิทธิภาพ การทำงานของแต่ละบุคคล( Riley & zaccaro 1987 )..
ไม่เฉพาะอาจพิมพ์ของ stressor ส่งผลกระทบต่อความแตกต่างในการทำงานระหว่างกัน ภายใน แบบเฉพาะราย
ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสนุกเร้าใจแต่ยังให้ความตึงเครียดที่มีประสบการณ์ ผู้ใช้บริการแบบเฉพาะรายแตกต่าง
ตามมาตรฐานในลักษณะของการตอบสนองทางอารมณ์ของพวกเขาเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดและเป็นผล
ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อของอารมณ์ความรู้สึกของตนในความสามารถของพวกเขาในการรับมือ ภายใต้ ความเครียด แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้ใช้บริการแบบเฉพาะรายนอกจากนี้ยัง
ประสบการณ์หลากหลายแต่ละระดับของความตึงเครียดทางอารมณ์โดยขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของ
ทางด้านอารมณ์ความรู้สึกที่แปรเปลี่ยนกับเหตุการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม. ดังนั้น
แต่ละบุคคลที่อาจมีทรัพยากรทางด้านอารมณ์ความรู้สึกที่จะสามารถรับมือกับความไม่มั่นคงงาน
ซึ่งจะช่วยในตอนเช้าแต่เป็นวันที่รุดหน้าและทรัพยากรทางด้านอารมณ์ความรู้สึกสับสนเกี่ยวกับสถานะใช้งานไม่มี
แบบเฉพาะรายเดียวกันกับที่อาจจะไม่สามารถควบคุมความเข้มของแสงที่ของของเขา/ของเธออารมณ์ความรู้สึก
และดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่ามีผลต่อจะเป็นการรบกวนด้วย ประสิทธิภาพ .
ท้าวแสนปมและ folkman ( 1984 )ซึ่งไม่ใช่ที่ stressor หรือความเข้มของแสงหรือช่วงระยะเวลาของความเครียดที่คาดว่าผลของความเครียดในการทำงาน.
บนพื้นฐานของการเรียนรู้ - จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทฤษฎีของความเครียดกระบวนการ,
ท้าวแสนปมและ folkman เสนอว่าจะมีผู้ใช้บริการแบบเฉพาะราย'ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทยของ stressor
และวิธีการในการเผชิญกับ ภาวะ stressor ที่กำหนดผลที่เกิดจากความตึงเครียดบน
พฤติกรรม. โรงแรมแห่งนี้เป็นทางนำไปสู่องค์กรในหัวข้อถัดไปของเราที่มีบทบาทในการประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทยความตึงเครียด