ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุคือ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นโอบฐานเจดีย์พระบรมธาตุเมืองนคร จังหวัดนครศรีธรรมราช สมัยโบราณเรียกประเพณีนี้ว่า “ประเพณีแห่พระบฏขึ้นธาตุ” (ผ้าพระบฏ คือ ผ้าผืนยาวและใหญ่และมีการเขียนรูปพุทธประวัติลงบนฝืนผ้านั้น)
มูลเหตุของการเกิดประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า เมื่อราวปี พ.ศ. ๑๗๗๓ ได้มีชาวพุทธจากเมืองอินทปัตแห่งกัมพูชากลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางไปเกาะลังกาเพื่อนำผ้าพระบฏไปบูชาพระเขี้ยวแก้ว แต่เกิดเหตุคลื่นซัดเรือแตกทำให้ผ้าพระบฏและชาวพุทธประมาณสิบคนลอยไปติดริมฝั่งที่อำเภอปากพนัง ครั้นพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ผู้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราชทราบข่าวจึงได้สั่งให้นำผ้าพระบฏนั้นไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์ เนื่องในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุและถือเป็นประเพณีแห่พระบฏขึ้นธาตุที่ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชทุกคนจะต้องปฏิบัติในทุกสมัย
“ตามประวัติการแห่ผ้าขึ้นธาตุจะทำในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุประจำปี แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ากระทำในวันใด ครั้นถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุมีการปฏิบัติ ๒ วัน คือ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ (วันมาฆบูชา) และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (วันวิสาขบูชา)”
“พิธีกรรมของประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุหรือประเพณีแห่พระบฏขึ้นธาตุ ในสมัยโบราณ จะจัดเป็นขบวนอันใหญ่โอและเอิกเกริกเพียงขบวนเดียว ซึ่งนอกจากจะมีผ้าพระบฏแล้วยังมีสำรับอาหารคาวหวาน กระบุงหรือกระจาดที่บรรจุผักสด ผลไม้และของแห้ง และประดับด้วยธงที่ทำจากผ้าสีต่างๆ นำไปถวายพระสงฆ์ที่วัดด้วยวิธีสลากภัต (สลากภัตคือวิธีการถวายภัตตาหารพระสงฆ์ด้วยการให้พระสงฆ์จับสลาก) จากนั้นจะเป็นพิธีการห่มผ้าพระบฏรอบพระธาตุ”
แต่ในปัจจุบันประชาชนที่มาร่วมงานแห่ผ้าขึ้นธาตุนั้นมาจากต่างถิ่นกัน ต่างคนต่างมาและมีการเตรียมผ้ามากันเอง ใครมีความพร้อมก่อนก็แห่ผ้าขึ้นธาตุก่อน โดยเมื่อขบวนแห่ของผู้ใดแห่มาถึงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า) ก็จะทำการเวียนประทักษิณ (คือการเวียนขวาโดยให้สิ่งที่เรานับถือหรือบุคคลที่เรานับถืออยู่ทางขวาของผู้เวียน) รอบพระบรมธาตุ ๓ รอบ แล้วนำผ้าพระบฏเข้าสู่วิหาร โดยแต่ละกลุ่มจะส่งตัวแทนประมาณ ๓-๔ คน ไปกับเจ้าหน้าที่ของวัดเพื่อนำผ้าพระบฏขึ้นโอบรอบพระบรมธาตุเจดีย์ เป็นอันเสร็จพิธีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ซึ้งเป็นประเพณีที่ชาวไทยควรอนุรักษณ์อย่างยิ่ง