2. ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม (

2. ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม (Constructivism)
ทฤษฎี Constructivism มีหลักการที่สำคัญว่า ในการเรียนรู้ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้กระทำ (active) และสร้างความรู้ ความเชื่อพื้นฐานของ Constructivism มีรากฐานมาจาก 2 แหล่ง คือจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์ และวิก็อทสกี้ ทฤษฎี Constructivism จึงแบ่งออกเป็น 2 ทฤษฎี คือ
1. Cognitive Constructivism หมายถึงทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม ที่มีรากฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์ ทฤษฎีนี้ถือว่าผู้เรียนเป็นผู้กระทำ (active) และเป็นผู้สร้างความรู้ขึ้นในใจเอง ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีบทบาทในการก่อให้เกิดความไม่สมดุลทางพุทธิปัญญาขึ้น เป็นเหตุให้ผู้เรียน ปรับความเข้าใจเดิมที่มีอยู่ให้เข้ากับข้อมูลข่าวสารใหม่ จนกระทั่ง เกิดความสมดุลทางพุทธิปัญญา หรือเกิดความรู้ใหม่ขึ้น
2. Social Constructivism เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของวิก็อทสกี้ ซึ่งถือว่าผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น (ผู้ใหญ่หรือเพื่อน) ในขณะที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรืองาน ในสภาวะสังคม (Social Context) ซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญและขาดไม่ได้ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมทำให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยการเปลี่ยนแปรความเข้าใจเดิมให้ถูกต้องหรือซับซ้อนกว้างขวางขึ้น

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

2. ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม (ศิลปะเค้าโครง)ทฤษฎีศิลปะเค้าโครงมีหลักการที่สำคัญว่าในการเรียนรู้ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้กระทำ (ใช้งาน) และสร้างความรู้ความเชื่อพื้นฐานของศิลปะเค้าโครงมีรากฐานมาจาก 2 แหล่งคือจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์และวิก็อทสกี้ทฤษฎีศิลปะเค้าโครงจึงแบ่งออกเป็น 2 ทฤษฎีคือ1. รับรู้ศิลปะเค้าโครงหมายถึงทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยมที่มีรากฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์ทฤษฎีนี้ถือว่าผู้เรียนเป็นผู้กระทำ (ใช้งาน) และเป็นผู้สร้างความรู้ขึ้นในใจเองปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีบทบาทในการก่อให้เกิดความไม่สมดุลทางพุทธิปัญญาขึ้นเป็นเหตุให้ผู้เรียนปรับความเข้าใจเดิมที่มีอยู่ให้เข้ากับข้อมูลข่าวสารใหม่จนกระทั่งเกิดความสมดุลทางพุทธิปัญญาหรือเกิดความรู้ใหม่ขึ้น2. ศิลปะเค้าโครงสังคมเป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของวิก็อทสกี้ซึ่งถือว่าผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น (ผู้ใหญ่หรือเพื่อน) ในขณะที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรืองานในสภาวะสังคม (บริบทสังคม) ซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญและขาดไม่ได้ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมทำให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยการเปลี่ยนแปรความเข้าใจเดิมให้ถูกต้องหรือซับซ้อนกว้างขวางขึ้น

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

2. ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม (Constructivism)
ทฤษฎี Constructivism มีหลักการที่สำคัญว่า (ใช้งาน) และสร้างความรู้ความเชื่อพื้นฐานของ Constructivism มีรากฐานมาจาก 2 แหล่งคือจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์และวิก็อทสกี้ทฤษฎี Constructivism จึงแบ่งออกเป็น 2 ทฤษฎีคือ
1 ความรู้ความเข้าใจ Constructivism (ใช้งาน) และเป็นผู้สร้างความรู้ขึ้นในใจเอง เป็นเหตุให้ผู้เรียน จนกระทั่งเกิดความสมดุลทางพุทธิปัญญาหรือเกิดความรู้ใหม่ขึ้น
2 สังคม Constructivism (ผู้ใหญ่หรือเพื่อน) ในสภาวะสังคม (บริบทสังคม)

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

2 . ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม ( สรรค์ )
ทฤษฎีคอนสตมีหลักการที่สำคัญว่าในการเรียนรู้ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้กระทำ ( Active ) และสร้างความรู้ความเชื่อพื้นฐานของคอนสตมีรากฐานมาจากแหล่งคือจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์และวิก็อทสกี้ทฤษฎีคอนสต 22 ทฤษฎีความ
1 .การหมายถึงทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยมคอนสตที่มีรากฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์ทฤษฎีนี้ถือว่าผู้เรียนเป็นผู้กระทำ ( Active ) และเป็นผู้สร้างความรู้ขึ้นในใจเองเป็นเหตุให้ผู้เรียนปรับความเข้าใจเดิมที่มีอยู่ให้เข้ากับข้อมูลข่าวสารใหม่จนกระทั่งเกิดความสมดุลทางพุทธิปัญญาหรือเกิดความรู้ใหม่ขึ้น
2 .สังคมเป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของวิก็อทสกี้คอนสตซึ่งถือว่าผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น ( ผู้ใหญ่หรือเพื่อน ) ในขณะที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรืองาน( สังคม ) ซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญและขาดไม่ได้ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมทำให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยการเปลี่ยนแปรความเข้าใจเดิมให้ถูกต้องหรือซับซ้อนกว้างขวางขึ้น