Effects of global warmingThe effect

Effects of global warming
The effects of global warming are already visible in many areas of the world. For example, in Montana's Glacier National Park, where about 150 glaciers were once located, only 25 glaciers larger than 25 acres remain, according to the U.S. Geological Survey (USGS). A commonly accepted guideline for identifying a glacier — a body of snow and ice that moves — is that the object must be about 101,000 square meters or about 25 acres in size. Below this size, the ice is generally stagnant and does not move, unless it is on a steep slope.

Scientists have expressed confidence that climate change will make hurricanes more intense, as well; the unusually strong hurricanes that have formed over the past few years give evidence for this. "We are confident not just because models predict hurricane intensification, but because we understand the reasons why they do and can explain those reasons in terms of what we know about how hurricanes work today," said atmospheric scientist Adam Sobel, author of "Storm Surge: Hurricane Sandy, Our Changing Climate, and Extreme Weather of the Past and Future" (HarperWave, 2014).

Sobel, a Columbia University professor in the departments of Earth and Environmental Sciences, and Applied Physics and Applied Mathematics, explained that hurricanes get their energy from the temperature difference between the warm tropical ocean and the cold upper atmosphere. Global warming increases that temperature difference.

Temperatures are getting more intense, as well. North America reached record highs in 2012, making it the hottest year since record keeping began in 1895. Scientists also recorded the second greatest number of temperature extremes (unusual highs and lows) in 2012. According to NOAA, 2013 tied with 2003 as the fourth warmest year globally since 1880, which is when the first year of global-temperature recording began.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ผลกระทบของภาวะโลกร้อนผลกระทบของภาวะโลกร้อนได้แล้วในหลายพื้นที่ของโลก สำหรับตัวอย่าง ในมอนตานาของธารน้ำแข็งอุทยาน ที่ธารน้ำแข็งประมาณ 150 ครั้งอยู่ เพียง 25 ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่กว่า 25 ไร่เดิม ตามการสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS) แนวทางยอมรับกันทั่วไปสำหรับการระบุธารน้ำ — ตัวของหิมะและน้ำแข็งที่เคลื่อนไหว — คือ ว่า วัตถุต้องเป็นตารางเมตรหรือประมาณ 25 ไร่ขนาดประมาณ 101,000 ด้านล่างนี้ขนาด น้ำแข็งจะนิ่งโดยทั่วไป และไม่ ย้าย เว้นแต่บนทางลาดนักวิทยาศาสตร์ได้แสดงความมั่นใจว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้พายุเฮอริเคนเข้ม เช่น พายุเฮอริเคนแข็งผิดปกติที่มีการเกิดขึ้นมากกว่าปีผ่านมาให้หลักฐานนี้ "เรามั่นใจไม่ใช่แค่ เพราะโมเดลทำนายแรงพายุเฮอริเคน แต่เนื่อง จากเราเข้าใจในเหตุผลว่าทำไมพวกเขาทำ และสามารถอธิบายเหตุผลเหล่านั้นในแง่ของสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับพายุเฮอริเคนทำวันนี้ กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์บรรยากาศ Adam Sobel ผู้เขียนของ" คลื่นพายุ: พายุเฮอริเคนแซนดี้ เราเปลี่ยน สภาพภูมิอากาศ และรุนแรงของอดีตและอนาคต " (HarperWave, 2014)Sobel อาจารย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในโลก และ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และ ฟิสิกส์ประยุกต์ และใช้ คณิตศาสตร์ อธิบายว่า พายุเฮอริเคนได้รับพลังงานจากความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างมหาสมุทรเขตร้อนอบอุ่นและบรรยากาศบนเย็น ภาวะโลกร้อนเพิ่มความแตกต่างของอุณหภูมิอุณหภูมิได้รับรุนแรงมาก เช่น อเมริกาเหนือถึงสูงบันทึกใน 2012 ทำปีร้อนที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บบันทึกในปีค.ศ. 1895 นักวิทยาศาสตร์บันทึกอุณหภูมิสุดขั้ว (สูงปกติและต่ำ) จำนวนสองสุดใน 2012 ตาม NOAA, 2013 ผูกกับ 2003 เป็นปีที่สี่อบอุ่นทั่วโลกตั้งแต่ 1880 ซึ่งเมื่อเริ่มปีแรกของการบันทึกอุณหภูมิโลก

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ผลกระทบของภาวะโลกร้อน
ผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่มีอยู่แล้วสามารถมองเห็นได้ในหลายพื้นที่ของโลก ยกตัวอย่างเช่นในมอนแทนาของอุทยานแห่งชาติธารน้ำแข็งที่ประมาณ 150 ธารน้ำแข็งอยู่ครั้งเดียวเพียง 25 ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่กว่า 25 ไร่ยังคงมีอยู่ตามการสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐ (USGS) แนวทางที่ยอมรับกันโดยทั่วไปสำหรับการระบุธารน้ำแข็ง - ร่างของหิมะและน้ำแข็งที่ย้าย - คือว่าวัตถุต้องอยู่ที่ประมาณ 101,000 ตารางเมตรหรือประมาณ 25 เอเคอร์ในขนาด ด้านล่างขนาดนี้น้ำแข็งโดยทั่วไปนิ่งและไม่ย้ายเว้นแต่จะอยู่บนทางลาดชัน. นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงความมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะทำให้พายุเฮอริเคนที่รุนแรงมากขึ้นเช่นกัน พายุเฮอริเคนแข็งแรงผิดปกติที่ได้เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาให้ปากคำในการนี้ "เรามีความมั่นใจไม่เพียงเพราะแบบจำลองคาดการณ์พายุเฮอริเคนแรงขึ้น แต่เพราะเราเข้าใจถึงเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาทำและสามารถอธิบายเหตุผลเหล่านั้นในแง่ของสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับวิธีพายุเฮอริเคนทำงานในวันนี้" นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าบรรยากาศดัมโชเบลผู้เขียน "Storm Surge :. พายุเฮอริเคนแซนดี้เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของเราและ Extreme อากาศของอดีตและอนาคต "(HarperWave 2014) โชเบลเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในหน่วยงานของโลกและวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและการประยุกต์ใช้ฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายว่าพายุเฮอริเคนได้รับของพวกเขา พลังงานที่ได้จากความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างมหาสมุทรในเขตร้อนชื้นอบอุ่นและบรรยากาศชั้นบนเย็น ภาวะโลกร้อนที่เพิ่มความแตกต่างของอุณหภูมิ. อุณหภูมิจะได้รับรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน นอร์ทอเมริกาถึงจุดสูงสุดในปี 2012 ทำให้มันเป็นปีที่ร้อนแรงที่สุดตั้งแต่บันทึกการรักษาเริ่มต้นขึ้นในปี 1895 นักวิทยาศาสตร์ยังบันทึกจำนวนมากที่สุดที่สองของอุณหภูมิสุดขั้ว (เสียงสูงผิดปกติและต่ำ) ในปี 2012 ตามที่ NOAA 2013 ผูกกับปี 2003 เป็นวันที่สี่ ปีที่อบอุ่นที่สุดทั่วโลกตั้งแต่ปี 1880 ซึ่งเมื่อปีแรกของการบันทึกอุณหภูมิโลกเริ่ม

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ผลกระทบของภาวะโลกร้อนผลกระทบของภาวะโลกร้อนก็มองเห็นได้ในหลายพื้นที่ของโลก ตัวอย่างเช่นใน Montana เป็นอุทยานแห่งชาติที่ประมาณ 150 ธารน้ำแข็งเคยตั้งอยู่เพียง 25 ธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 25 ไร่ อยู่ ตามการสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐ ( USGS ) ยอมรับกันโดยทั่วไปในการระบุธารน้ำแข็ง - ร่างกายของหิมะและน้ำแข็งที่ย้ายคือ วัตถุจะต้องเกี่ยวกับการสูญเสียตำแหน่งงานตารางเมตร หรือประมาณ 25 เอเคอร์ในขนาดที่ ด้านล่าง ขนาดนี้ น้ำแข็งโดยทั่วไปจะนิ่งและไม่ย้ายเว้นแต่เป็นบนทางลาดชันนักวิทยาศาสตร์ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้พายุเฮอริเคนที่รุนแรงมากขึ้นเช่นกัน ส่วนพายุหมุนที่แข็งแกร่งผิดปกติที่ได้เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาให้หลักฐาน . " เรามั่นใจเพราะพยากรณ์พายุเฮอริเคนรุ่นแรง แต่เพราะเราไม่เข้าใจเหตุผลที่พวกเขาทำและสามารถอธิบายเหตุผลในแง่ของสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับพายุเฮอริเคนทำงานอย่างไรในวันนี้ กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์บรรยากาศ อดัม ลิงค์ , ผู้เขียนของ " พายุไฟกระชาก : พายุเฮอริเคนแซนดี้ของเราเปลี่ยนบรรยากาศ และสภาพอากาศที่รุนแรงของอดีต ในอนาคต " ( harperwave 2014 )ลิงค์ , มหาวิทยาลัยโคลัมเบียศาสตราจารย์ในแผนกของ โลกและวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และสาขาฟิสิกส์ประยุกต์และคณิตศาสตร์ประยุกต์ อธิบายว่า เฮอริเคน รับพลังงานจากความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิมหาสมุทรและบรรยากาศชั้นบนอุ่นร้อนเย็น ภาวะโลกร้อนเพิ่มอุณหภูมิที่แตกต่างอุณหภูมิเริ่มรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน อเมริกาเหนือถึง scientific ( ระเบียน ) ในปี 2012 ทำให้มันสุด ๆ ปี ตั้งแต่การบันทึกเริ่มต้นในปี 1895 นักวิทยาศาสตร์ยังได้บันทึกหมายเลขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สองของอุณหภูมิสุดขั้ว ( เสียงสูงผิดปกติและ scientific ( nws ) ในปี 2012 ตามที่ NOAA , 2013 ผูกกับ 2003 เป็นปีที่ 4 อบอุ่นทั่วโลกตั้งแต่ปีค.ศ. 1880 ซึ่งเป็นเมื่อ ปีแรกของการบันทึกอุณหภูมิของโลกก็เริ่มขึ้น