พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: คัดค้านประชามติ คว่ำบาตรทุกอย่างคือ ไม่ทำอะไรสั การแปล - พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: คัดค้านประชามติ คว่ำบาตรทุกอย่างคือ ไม่ทำอะไรสั ไทย วิธีการพูด

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: คัดค้านประชา

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: คัดค้านประชามติ คว่ำบาตรทุกอย่างคือ ไม่ทำอะไรสักอย่าง!
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2558

ถึงวันนี้ เริ่มมีแนวโน้มแล้วว่า อาจจะมีประชามติว่าด้วยร่างรัฐธรรมนูญ 2558 เมื่อทั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า เห็นควรให้มีประชามติ ส่วนคำถามที่ว่า ถ้าผลของประชามติเป็น “ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ” แล้วจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้น ดูเหมือนจะมี “ทางเลือก” อยู่เพียงสองทางคือ ให้นำเอารัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งในอดีตมาปรับใช้ หรือให้คณะกรรมาธิการทำการยกร่างใหม่ทั้งฉบับอีกรอบหนึ่ง

แต่ยังมีข้อเสนอจากนักการเมืองและประชาชนแยกเป็นสามแนวทางคือ ให้นำรัฐธรรมนูญ 2550 (ข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์) หรือรัฐธรรมนูญ 2540 (นักการเมืองบางคนในพรรคเพื่อไทย) มาปรับใช้ หรือให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งเพื่อยกร่างใหม่ทั้งฉบับ (ข้อเสนอของกลุ่มเรียกร้องประชามติที่เป็นประชาธิปไตย)

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยืนยันให้คว่ำบาตรกระบวนการทั้งหมดของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ซึ่งก็คือ คว่ำบาตรประชามติ คว่ำบาตรรัฐธรรมนูญ และคว่ำบาตรการเลือกตั้ง รวมทั้ง เรียกร้องกดดันให้พรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคร่วมกันคว่ำบาตรกระบวนการข้างต้นทั้งหมดด้วย

เหตุผลของแนวทาง “คว่ำบาตรทุกอย่าง” คือ เป็นการปฏิเสธรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และผลพวงทั้งหมด ซึ่งก็คือ รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 และกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งกระบวน
แน่นอนว่า ผู้ที่รักประชาธิปไตยจะต้องคัดค้านรัฐประหาร รัฐธรรมนูญชั่วคราวและการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่กำลังกระทำกันอยู่ แต่การ “คว่ำบาตรทุกอย่าง” นั้นก็ไม่ใช่วิธีการที่จะไปบรรลุผลที่เป็นจริงในทางปฏิบัติ

ข้ออ้างที่ว่า “ปฏิเสธรัฐประหารและรัฐธรรมนูญชั่วคราว” ก็เป็นเพียงโวหารที่ว่างเปล่า เพราะความเป็นจริงในชีวิตนั้นเป็นตรงข้ามคือ ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบและต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม บางคนต้องหลบหนีไปต่างประเทศ หลายคนถูกเรียกตัว ควบคุมตัว มีคดีในศาล ส่วนใหญ่ต้องปรับเปลี่ยนกิจกรรมที่เคยทำและอยู่อย่างหวาดระแวง นี่คือผลที่เป็นจริงของรัฐประหารและมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว โดยที่ผู้ได้รับผลกระทบก็ต้องจำยอมโดยดุษฎี แม้ปากจะยืนยันว่า “ไม่ยอมรับรัฐประหารและรัฐธรรมนูญชั่วคราว” ก็ตาม!

การเสนอแนวทางแบบสุดโต่งที่ “ปฏิเสธทุกอย่าง คว่ำบาตรทุกอย่าง” นั้น ฟังดูดี “มีหลักการ” และ “ถูกใจ” ผู้คนจำนวนหนึ่งก็เพราะเป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับอารมณ์โกรธและผิดหวังที่แพร่หลายอยู่ในหมู่ผู้รักประชาธิปไตยปัจจุบัน

การ “คว่ำบาตรทุกอย่าง” แม้จะฟังดูดีในทางการเมือง แต่ผลทางปฏิบัติก็คือ การปล่อยให้กระบวนการของรัฐธรรมนูญชั่วคราวดำเนินไปอย่างลื่นไหลจนถึงประกาศใช้รัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยไร้อุปสรรคใด ๆ นั่นเอง เพราะภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จของมาตรา 44 การคว่ำบาตรทุกอย่างดังว่าก็คือการที่คนจำนวนหนึ่งบอกกับตัวเองว่า “ไม่ยอมรับรัฐประหาร” แล้วก็ไม่ทำอะไร เป็นการมัดมือมัดเท้าและปิดประตูตัวเองออกไปจากการต่อสู้ทางการเมืองในขณะนั้น ขณะที่ประชาชนส่วนข้างมากไม่ได้รับรู้อะไรนอกจากเฝ้าดูกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนมีการเลือกตั้ง

แม้แต่การที่คนกลุ่มนี้ “คว่ำบาตรประชามติ” ด้วยการออกไป “ทำบัตรเสีย” หรือไม่ออกไปใช้สิทธิ์ลงเสียง ก็จะไม่มีผลทางการเมืองใด ๆ เพราะการกระทำดังกล่าวจะถูกนับเป็นจำนวน “บัตรเสีย” และจำนวนคน “นอนหลับทับสิทธิ์” ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ดังเช่นบทเรียนจากการเคลื่อนไหว “โหวตโน” ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการเลือกตั้งปี 2554 ที่กลายเป็นการละทิ้งเวทีการต่อสู้และทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเองไปในที่สุด

ความจริงแล้ว ผู้ที่เสนอให้ “คว่ำบาตรทุกอย่าง” ก็รู้ถึงข้อจำกัดของประชาชนที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน จึงมีข้อเสนอเพื่อแก้เกี้ยวคือ ให้ประชาชน “กดดันพรรคการเมืองมาเป็นด่านหน้าคว่ำบาตรรัฐธรรมนูญ ประชามติ และการเลือกตั้ง” โดยให้เหตุผลว่า ประชาชนไม่ต้องเสี่ยงออกไป “เผชิญหน้า” กับคณะรัฐประหารด้วยตัวเอง แต่ “ดันหลังพรรคการเมืองให้ไปชนกับคณะรัฐประหาร” แทน!

แต่นี่เป็นข้อเสนอที่ไร้เดียงสาทางการเมืองยิ่ง เพราะนักการเมืองย่อมมีผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ ซึ่งก็คือ มีการเลือกตั้ง ได้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรและจัดตั้งรัฐบาล ประสบการณ์ในช่วงสิบปีมานี้ ยังไม่เพียงพออีกหรือที่จะเรียนรู้ว่า พรรคการเมืองในระบบเลือกตั้งไม่อาจเป็นกองหน้าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้ สิ่งที่พวกเขาทำได้อย่างมากที่สุดคือ การสนับสนุนประชาชนอยู่ข้างหลัง และคอยรับดอกผลจากการต่อสู้ของประชาชนเท่านั้น!

เมื่อพิเคราะห์ให้ถึงที่สุด แนวทาง “คว่ำบาตรทุกอย่าง” ก็คือ การเอา “หลักการสวยหรู” ที่สุดโต่งชุดหนึ่งมาปกปิดอารมณ์พ่ายแพ้และผิดหวังของตนเอง มาเป็นข้ออ้างรองรับการที่จะไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ในทางปฏิบัตินี่คือ “การยอมแพ้” ทางการเมืองที่ตกแต่งด้วยโวหารหลักการสวยหรู และด้วยข้ออ้าง “ให้พรรคการเมืองออกหน้า” แทน

การดำเนินงานทางการเมืองจะต้องยึดหลักการและแนวทางใหญ่ไว้ให้มั่น แต่การกระทำทางยุทธวิธีก็ต้องมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริงโดยพิจารณาจากผลสะเทือนทางการเมืองในสาธารณะเป็นสำคัญ สถานการณ์ปัจจุบันนั้นยากลำบาก ช่องทางการเมืองก็ตีบตันและอันตราย เราจึงต้องใช้ประโยชน์จากช่องทางทุกด้านเท่าที่จะหาได้ เพื่อส่งผลสะเทือนทางการเมืองไปสู่สาธารณะ ซึ่งในภาวการณ์ปัจจุบันก็คือ การผลักดันให้มีประชามติและให้มีการอภิปรายสาธารณะในประเด็นรัฐธรรมนูญได้ (แม้ว่า อำนาจตาม ม.44 จะยังคงอยู่ก็ตาม)

แน่นอนว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่ผลประชามติจะเป็น “รับร่างรัฐธรรมนูญ” จึงได้มีข้อโต้แย้งอีกข้อหนึ่งคือ นี่มิเท่ากับไปสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐธรรมนูญ 2558 เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2550 ดอกหรือ? คำตอบคือ ประชามติที่ “รับร่างรัฐธรรมนูญ” จะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับที่ประชามติปี 2550 ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ส่วนทั้งหมดในขณะนั้น
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
พิชิตลิขิตกิจสมบูรณ์: คัดค้านประชามติคว่ำบาตรทุกอย่างคือไม่ทำอะไรสักอย่างรศ.ดร.พิชิตลิขิตกิจสมบูรณ์ตีพิมพ์ครั้งแรกใน "โลกวันนี้วันสุข"ฉบับวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2558ถึงวันนี้เริ่มมีแนวโน้มแล้วว่าอาจจะมีประชามติว่าด้วยร่างรัฐธรรมนูญ 2558 เมื่อทั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญสภาปฏิรูปแห่งชาติและสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าเห็นควรให้มีประชามติส่วนคำถามที่ว่าถ้าผลของประชามติเป็น "ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ" แล้วจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้นดูเหมือนจะมี "ทางเลือก" อยู่เพียงสองทางคือให้นำเอารัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งในอดีตมาปรับใช้หรือให้คณะกรรมาธิการทำการยกร่างใหม่ทั้งฉบับอีกรอบหนึ่งแต่ยังมีข้อเสนอจากนักการเมืองและประชาชนแยกเป็นสามแนวทางคือให้นำรัฐธรรมนูญ 2550 (ข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์) หรือรัฐธรรมนูญ 2540 (นักการเมืองบางคนในพรรคเพื่อไทย) มาปรับใช้หรือให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งเพื่อยกร่างใหม่ทั้งฉบับ (ข้อเสนอของกลุ่มเรียกร้องประชามติที่เป็นประชาธิปไตย)อย่างไรก็ตามยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยืนยันให้คว่ำบาตรกระบวนการทั้งหมดของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ซึ่งก็คือคว่ำบาตรประชามติคว่ำบาตรรัฐธรรมนูญและคว่ำบาตรการเลือกตั้งรวมทั้งเรียกร้องกดดันให้พรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคร่วมกันคว่ำบาตรกระบวนการข้างต้นทั้งหมดด้วยเหตุผลของแนวทาง "คว่ำบาตรทุกอย่าง" คือเป็นการปฏิเสธรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และผลพวงทั้งหมดซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 และกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งกระบวนแน่นอนว่าผู้ที่รักประชาธิปไตยจะต้องคัดค้านรัฐประหารรัฐธรรมนูญชั่วคราวและการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่กำลังกระทำกันอยู่แต่การนั้นก็ไม่ใช่วิธีการที่จะไปบรรลุผลที่เป็นจริงในทางปฏิบัติ "คว่ำบาตรทุกอย่าง"ข้ออ้างที่ว่า "ปฏิเสธรัฐประหารและรัฐธรรมนูญชั่วคราว" ก็เป็นเพียงโวหารที่ว่างเปล่าเพราะความเป็นจริงในชีวิตนั้นเป็นตรงข้ามคือทุกคนล้วนได้รับผลกระทบและต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางคนต้องหลบหนีไปต่างประเทศหลายคนถูกเรียกตัวควบคุมตัวมีคดีในศาลส่วนใหญ่ต้องปรับเปลี่ยนกิจกรรมที่เคยทำและอยู่อย่างหวาดระแวงนี่คือผลที่เป็นจริงของรัฐประหารและมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวโดยที่ผู้ได้รับผลกระทบก็ต้องจำยอมโดยดุษฎีแม้ปากจะยืนยันว่า "ไม่ยอมรับรัฐประหารและรัฐธรรมนูญชั่วคราว" ก็ตามการเสนอแนวทางแบบสุดโต่งที่ "ปฏิเสธทุกอย่างคว่ำบาตรทุกอย่าง" ฟังดูดีนั้น "มีหลักการ" และ "ถูกใจ" ผู้คนจำนวนหนึ่งก็เพราะเป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับอารมณ์โกรธและผิดหวังที่แพร่หลายอยู่ในหมู่ผู้รักประชาธิปไตยปัจจุบันตามหลัก "คว่ำบาตรทุกอย่าง" แม้จะฟังดูดีในทางการเมืองแต่ผลทางปฏิบัติก็คือการปล่อยให้กระบวนการของรัฐธรรมนูญชั่วคราวดำเนินไปอย่างลื่นไหลจนถึงประกาศใช้รัฐธรรมนูญมีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยไร้อุปสรรคใดๆ นั่นเองเพราะภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จของมาตรา 44 การคว่ำบาตรทุกอย่างดังว่าก็คือการที่คนจำนวนหนึ่งบอกกับตัวเองว่า "ไม่ยอมรับรัฐประหาร" แล้วก็ไม่ทำอะไรเป็นการมัดมือมัดเท้าและปิดประตูตัวเองออกไปจากการต่อสู้ทางการเมืองในขณะนั้นขณะที่ประชาชนส่วนข้างมากไม่ได้รับรู้อะไรนอกจากเฝ้าดูกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ดำเนินไปเรื่อยๆ จนมีการเลือกตั้งแม้แต่การที่คนกลุ่มนี้ "คว่ำบาตรประชามติ" ด้วยการออกไป "ทำบัตรเสีย" หรือไม่ออกไปใช้สิทธิ์ลงเสียงก็จะไม่มีผลทางการเมืองใดๆ เพราะการกระทำดังกล่าวจะถูกนับเป็นจำนวน "บัตรเสีย" และจำนวนคน "นอนหลับทับสิทธิ์" ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้นดังเช่นบทเรียนจากการเคลื่อนไหว "โหวตโน" ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการเลือกตั้งปี 2554 ที่กลายเป็นการละทิ้งเวทีการต่อสู้และทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเองไปในที่สุดความจริงแล้วผู้ที่เสนอให้ "คว่ำบาตรทุกอย่าง" ก็รู้ถึงข้อจำกัดของประชาชนที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้ในสถานการณ์ปัจจุบันจึงมีข้อเสนอเพื่อแก้เกี้ยวคือให้ประชาชน "กดดันพรรคการเมืองมาเป็นด่านหน้าคว่ำบาตรรัฐธรรมนูญประชามติและการเลือกตั้ง" โดยให้เหตุผลว่าประชาชนไม่ต้องเสี่ยงออกไป "เผชิญหน้า" กับคณะรัฐประหารด้วยตัวเองแต่ "ดันหลังพรรคการเมืองให้ไปชนกับคณะรัฐประหาร" แทนแต่นี่เป็นข้อเสนอที่ไร้เดียงสาทางการเมืองยิ่งเพราะนักการเมืองย่อมมีผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญซึ่งก็คือมีการเลือกตั้งได้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรและจัดตั้งรัฐบาลประสบการณ์ในช่วงสิบปีมานี้ยังไม่เพียงพออีกหรือที่จะเรียนรู้ว่าพรรคการเมืองในระบบเลือกตั้งไม่อาจเป็นกองหน้าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้สิ่งที่พวกเขาทำได้อย่างมากที่สุดคือการสนับสนุนประชาชนอยู่ข้างหลังและคอยรับดอกผลจากการต่อสู้ของประชาชนเท่านั้นเมื่อพิเคราะห์ให้ถึงที่สุดแนวทาง "คว่ำบาตรทุกอย่าง" ก็คือการเอา "หลักการสวยหรู" ที่สุดโต่งชุดหนึ่งมาปกปิดอารมณ์พ่ายแพ้และผิดหวังของตนเองมาเป็นข้ออ้างรองรับการที่จะไม่ทำอะไรทั้งสิ้นในทางปฏิบัตินี่คือ "การยอมแพ้" ทางการเมืองที่ตกแต่งด้วยโวหารหลักการสวยหรูและด้วยข้ออ้าง "ให้พรรคการเมืองออกหน้า" แทนการดำเนินงานทางการเมืองจะต้องยึดหลักการและแนวทางใหญ่ไว้ให้มั่นแต่การกระทำทางยุทธวิธีก็ต้องมีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริงโดยพิจารณาจากผลสะเทือนทางการเมืองในสาธารณะเป็นสำคัญสถานการณ์ปัจจุบันนั้นยากลำบากช่องทางการเมืองก็ตีบตันและอันตรายเราจึงต้องใช้ประโยชน์จากช่องทางทุกด้านเท่าที่จะหาได้เพื่อส่งผลสะเทือนทางการเมืองไปสู่สาธารณะซึ่งในภาวการณ์ปัจจุบันก็คือการผลักดันให้มีประชามติและให้มีการอภิปรายสาธารณะในประเด็นรัฐธรรมนูญได้ (แม้ว่าอำนาจตาม ม.44 จะยังคงอยู่ก็ตาม)แน่นอนว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่ผลประชามติจะเป็น “รับร่างรัฐธรรมนูญ” จึงได้มีข้อโต้แย้งอีกข้อหนึ่งคือ นี่มิเท่ากับไปสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐธรรมนูญ 2558 เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2550 ดอกหรือ? คำตอบคือ ประชามติที่ “รับร่างรัฐธรรมนูญ” จะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับที่ประชามติปี 2550 ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ส่วนทั้งหมดในขณะนั้น
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
พิชิตลิขิตกิจสมบูรณ์: คัดค้านประชามติคว่ำบาตรทุกอย่างคือไม่ทำอะไรสักอย่าง
.. รศดรพิชิตลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน "โลกวันนี้วันสุข"
ฉบับวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2558 ถึงวันนี้เริ่มมี แนวโน้มแล้วว่า 2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติและสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าเห็นควรให้มีประชามติส่วนคำถามที่ว่าถ้าผลของประชามติเป็น "ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ" ดูเหมือนจะมี "ทางเลือก" อยู่เพียงสองทางคือ ให้นำรัฐธรรมนูญ 2550 (ข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์) หรือรัฐธรรมนูญ 2540 (นักการเมืองบางคนในพรรคเพื่อไทย) มาปรับใช้ 2557 ซึ่งก็คือคว่ำบาตรประชามติคว่ำบาตรรัฐธรรมนูญและคว่ำบาตรการเลือกตั้งรวมทั้ง "คว่ำบาตรทุกอย่าง" คือเป็นการปฏิเสธรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และผลพวงทั้งหมดซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 แต่การ "คว่ำบาตรทุกอย่าง" ก็เป็นเพียงโวหารที่ว่างเปล่า บางคนต้องหลบหนีไปต่างประเทศหลายคนถูกเรียกตัวควบคุมตัวมีคดีในศาล 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว แม้ปากจะยืนยันว่า ก็ตาม! การเสนอแนวทางแบบสุดโต่งที่ "ปฏิเสธทุกอย่างคว่ำบาตรทุกอย่าง" นั้นฟังดูดี "มีหลักการ" และ "ถูกใจ" "คว่ำบาตรทุกอย่าง" แม้จะฟังดูดีในทางการเมือง แต่ผลทางปฏิบัติก็คือ ๆ นั่นเองเพราะภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จของมาตรา 44 "ไม่ยอมรับรัฐประหาร" แล้วก็ไม่ทำอะไร ๆ "คว่ำบาตรประชามติ" ด้วยการออกไป "ทำบัตรเสีย" หรือไม่ออกไปใช้สิทธิ์ลงเสียงก็จะไม่มีผลทางการเมืองใด ๆ "บัตรเสีย" และจำนวนคน "นอนหลับทับสิทธิ์" ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้นดังเช่นบทเรียนจากการเคลื่อนไหว "โหวตโน" 2554 ผู้ที่เสนอให้ "คว่ำบาตรทุกอย่าง" จึงมีข้อเสนอเพื่อแก้เกี้ยวคือให้ประชาชน ประชามติและการเลือกตั้ง "โดยให้เหตุผลว่าประชาชนไม่ต้องเสี่ยงออกไป" เผชิญหน้า "กับคณะรัฐประหารด้วยตัวเอง แต่ ซึ่งก็คือมีการเลือกตั้ง ประสบการณ์ในช่วงสิบปีมานี้ การสนับสนุนประชาชนอยู่ข้างหลัง แนวทาง "คว่ำบาตรทุกอย่าง" ก็คือการเอา "หลักการสวยหรู" ในทางปฏิบัตินี่คือ "การยอมแพ้" และด้วยข้ออ้าง "ให้พรรคการเมืองออกหน้า" สถานการณ์ปัจจุบันนั้นยากลำบากช่องทางการเมืองก็ตีบตันและอันตราย ซึ่งในภาวการณ์ปัจจุบันก็คือ (แม้ว่าอำนาจตามม. 44 จะยังคงอยู่ก็ตาม) แน่นอนว่า "รับร่างรัฐธรรมนูญ" จึงได้มีข้อโต้แย้งอีกข้อหนึ่งคือ 2558 เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2550 ดอกหรือ? คำตอบคือประชามติที่ "รับร่างรัฐธรรมนูญ" เช่นเดียวกับที่ประชามติปี 2550


























การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
พิชิตลิขิตกิจสมบูรณ์ : คัดค้านประชามติคว่ำบาตรทุกอย่างคือไม่ทำอะไรสักอย่าง !
รศ . ดร . พิชิตลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน " โลกวันนี้วันสุข " ฉบับวันศุกร์ที่พฤษภาคม 2558


22ถึงวันนี้เริ่มมีแนวโน้มแล้วว่าอาจจะมีประชามติว่าด้วยร่างรัฐธรรมนูญ 2558 เมื่อทั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญสภาปฏิรูปแห่งชาติและสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าส่วนคำถามที่ว่าถ้าผลของประชามติเป็น " ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ " แล้วจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้นดูเหมือนจะมี " ทางเลือก " อยู่เพียงสองทางคือให้นำเอารัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งในอดีตมาปรับใช้
แต่ยังมีข้อเสนอจากนักการเมืองและประชาชนแยกเป็นสามแนวทางคือให้นำรัฐธรรมนูญ 2550 ( ข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์ ) หรือรัฐธรรมนูญ 2540 ( นักการเมืองบางคนในพรรคเพื่อไทย ) มาปรับใช้( ข้อเสนอของกลุ่มเรียกร้องประชามติที่เป็นประชาธิปไตย )

อย่างไรก็ตามยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยืนยันให้คว่ำบาตรกระบวนการทั้งหมดของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ซึ่งก็คือคว่ำบาตรประชามติคว่ำบาตรรัฐธรรมนูญและคว่ำบาตรการเลือกตั้งรวมทั้ง
เหตุผลของแนวทาง " คว่ำบาตรทุกอย่าง " ความเป็นการปฏิเสธรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และผลพวงทั้งหมดซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 และกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งกระบวน
แน่นอนว่าผู้ที่รักประชาธิปไตยจะต้องคัดค้านรัฐประหารรัฐธรรมนูญชั่วคราวและการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่กำลังกระทำกันอยู่แต่การ " คว่ำบาตรทุกอย่าง " นั้นก็ไม่ใช่วิธีการที่จะไปบรรลุผลที่เป็นจริงในทางปฏิบัติ

ข้ออ้างที่ว่า " ปฏิเสธรัฐประหารและรัฐธรรมนูญชั่วคราว " ก็เป็นเพียงโวหารที่ว่างเปล่าเพราะความเป็นจริงในชีวิตนั้นเป็นตรงข้ามคือทุกคนล้วนได้รับผลกระทบและต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางคนต้องหลบหนีไปต่างประเทศควบคุมตัวมีคดีในศาลส่วนใหญ่ต้องปรับเปลี่ยนกิจกรรมที่เคยทำและอยู่อย่างหวาดระแวงนี่คือผลที่เป็นจริงของรัฐประหารและมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวโดยที่ผู้ได้รับผลกระทบก็ต้องจำยอมโดยดุษฎี" ไม่ยอมรับรัฐประหารและรัฐธรรมนูญชั่วคราว " ก็ตาม !

การเสนอแนวทางแบบสุดโต่งที่ " ปฏิเสธทุกอย่างคว่ำบาตรทุกอย่าง " นั้นฟังดูดี " มีหลักการ " และ " ถูกใจ "
การ " คว่ำบาตรทุกอย่าง " แม้จะฟังดูดีในทางการเมืองแต่ผลทางปฏิบัติก็คือการปล่อยให้กระบวนการของรัฐธรรมนูญชั่วคราวดำเนินไปอย่างลื่นไหลจนถึงประกาศใช้รัฐธรรมนูญจะนั่นเองเพราะภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จของมาตรา 44 การคว่ำบาตรทุกอย่างดังว่าก็คือการที่คนจำนวนหนึ่งบอกกับตัวเองว่า " ไม่ยอมรับรัฐประหาร " แล้วก็ไม่ทำอะไร
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: