ในทางทฤษฎี Error Correcting Code สา

ในทางทฤษฎี Error Correcting Code
สามารถแก้ไขError ได้ทุกชนิด ทุกรูปแบบ เรียกการแก้ไขError แบบนี้ว่า FEC
ตัวอย่างSingle Bit Errorการตรวจจับและแก้ไขError ชนิดนี้ ต้องสามารถระบุ “ข่าวสาร” 2 ประการ
–มี Error เกิดขึ้นหรือไม่ (Detection)
–Error ที่เกิดขึ้นนั้น อยูที่ตําแหน่งใด (Identification)เพียงตรวจจับError ต้องการRedundant Bit อีกเพียง 1 บิตเท่านั้นเพื่อระบุว่าชุดข้อมูลนั้นมี Error เกิดขึ้น(1) หรือไม่ (0)
แต่การแก้ไขError นั้นต้องสามารถ“ระบุตําแหน่งที่เกิด Error”(Identification of Invalid Bit) ได้ ซึ่งอุปกรณ์ด้านรับเพียงกลับค่าบิต ของข้อมูล ณ ตําแหน่งนั้น

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ในทางทฤษฎีแก้ไขข้อผิดพลาดรหัส
สามารถแก้ไขได้ทุกชนิดทุกรูปแบบเรียกการข้อผิดพลาดข้อผิดพลาดแก้ไขแบบนี้ว่า FEC
ตัวอย่างความผิดพลาดบิตเดียวการตรวจจับและข้อผิดพลาดแก้ไขชนิดนี้ต้องสามารถระบุ "ข่าวสาร" 2 ประการ
- มีข้อผิดพลาดเกิด ขึ้นหรือไม่ (ตรวจสอบ)
ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นอยูที่ตําแหน่งใด (ระบุ) ข้อผิดพลาดเพียงตรวจจับต้องการบิตซ้ำซ้อนอีกเพียง 1 บิตเท่านั้นเพื่อระบุว่าชุดข้อมูลนั้นมี ข้อผิดพลาดเกิดขึ้น (1) หรือไม่ (0)
แต่การแก้ไขข้อผิดพลาด นั้นต้องสามารถ“ระบุตําแหน่งที่เกิด ข้อผิดพลาด "(บัตรประจำตัวของบิตที่ไม่ถูกต้อง) ได้ซึ่งอุปกรณ์ด้านรับเพียงกลับค่าบิตของข้อมูล ณ ตําแหน่งนั้น

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การแก้ไขรหัสข้อผิดพลาดในทางทฤษฎี
สามารถแก้ไขError ได้ทุกชนิดทุกรูปแบบ เรียกการแก้ไขError แบบนี้ว่า FEC
ตัวอย่างSingle บิต Errorการตรวจจับและแก้ไขError ชนิดนี้ต้องสามารถระบุ "ข่าวสาร" 2 ประการ
–มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นหรือไม่ (ตรวจสอบ)
ต้องการRedundant เพียงตรวจจับError –Error ที่เกิดขึ้นนั้นอยูที่ตําแหน่งใด (รหัส) บิตข้อผิดพลาด 1 บิตเท่านั้นเพื่อระบุว่าชุดข้อมูลนั้นมีอีกเพียง เกิดขึ้น(1) หรือไม่ (0)
แต่การแก้ไขError นั้นต้องสามารถ "ข้อผิดพลาดระบุตําแหน่งที่เกิด" (รหัสของบิตที่ไม่ถูกต้อง) ได้ซึ่งอุปกรณ์ด้านรับเพียงกลับค่าบิตของข้อมูลณตําแหน่งนั้น

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ในทางทฤษฎี Error Correcting Code
สามารถแก้ไขerror ได้ทุกชนิดทุกรูปแบบ เรียกการแก้ไขerror แบบนี้ว่า FEC
ตัวอย่างsingle bit errorการตรวจจับและแก้ไขerror ชนิดนี้ต้องสามารถระบุ"ข่าวสาร" 2 ประการ
- มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นหรือไม่(การตรวจจับ)
- เกิดข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นอยูที่ตําแหน่งใด(การระบุตัวตน) เพียงตรวจจับerror ต้องการredundant bit อีกเพียง 1 บิตเท่านั้นเพื่อระบุว่าชุดข้อมูลนั้นมีเกิดข้อผิดพลาดเกิดขึ้น( 1 )หรือไม่( 0 )
แต่การแก้ไขerror นั้นต้องสามารถ"ระบุตําแหน่งที่เกิดเกิดข้อผิดพลาด"(การระบุไม่ถูกต้องบิต)ได้ซึ่งอุปกรณ์ด้านรับเพียงกลับค่าบิตของข้อมูลณตําแหน่งนั้น