การที่จะกำหนดอนาคตของประเทศในช่วงต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นเรื่องการจะมีรัฐสวัสดิการ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาเรื่องของความเลื่อมล้ำของรายได้ และปัญหาความยากจนที่มีอยู่มากในบางส่วนของประเทศ โดยเห็นกันว่ารัฐสวัสดิการอาจจะเป็นคำตอบที่จะนำมาซึ่งความปรองดองของส่วน ต่างๆ ของประเทศได้ในที่สุด ในประเด็นนี้ ถ้าจะพูดไป รัฐสวัสดิการ หรือ Welfare State ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศในโลกโดยเฉพาะประเทศในยุโรป เช่น เบลเยี่ยม เดนมาร์ค สวีเดน ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมัน ได้ให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน ทั้งในด้านการศึกษา การสาธารณสุข การคมนาคม รวมถึงการประกันสังคมในด้านต่างๆ อาทิ รายได้ช่วงที่ตกงาน เงินบำนาญหลังเกษียณ เงินอุดหนุนแก่กลุ่มบุคคลต่างๆ โดยอาศัยรายได้จากภาษีจากผู้มีรายได้สูง มาใช้ในการให้บริการสาธารณะเหล่านี้สำคัญที่ต้องถามก็คือ “ไทยพร้อมที่จะไปสู่การเป็นรัฐสวัสดิการแล้วหรือยัง” ถ้าตอบก็ต้องบอกว่า ไทยยังไม่อยู่ในฐานะที่จะไปให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนได้ฟรีอย่างเต็มรูปแบบ ในขณะนี้ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการนั้น
(1) ส่วนมากเป็นประเทศที่รัฐมีรายได้เป็นสัดส่วนที่สูงมากของ GDP ประมาณร้อยละ 40-50% โดยอาศัยที่ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในฐานภาษี รัฐจึงสามารถจัดเก็บรายได้เป็นจำนวนมาก ทำให้อยู่ในฐานะที่จะจัดให้เกิดรัฐสวัสดิการขึ้น
(2) ประเทศเหล่านี้ได้พัฒนาเศรษฐกิจของตนไปมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ความจำเป็นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ ที่จะช่วยเอื้อต่อการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะในส่วนของสาธารณูปโภค คมนาคม และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ได้มีมากอีกต่อไป แต่สำหรับกรณีของไทยปัจจุบันรัฐบาลยังคงจัดเก็บภาษีได้ไม่มากนัก มีประชาชนที่จ่ายภาษีแค่เพียง 6 ล้านคน ขณะที่มีประชากรมากกว่า 60 ล้านคน อีกทั้งรายได้ของภาครัฐโดยรวมก็เพียงแค่ประมาณ 17% ของ GDP ด้วยเหตุนี้ การจะให้คนเพียง 10% ทำหน้าที่ในการเสียภาษีเพื่อให้บริการสาธารณะแก่คนที่เหลืออีก 90% คงเป็นเรื่องที่ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ไทยยังมีข้อจำกัดสำคัญ อันเนื่องมาจากความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อเอื้อต่อการพัฒนาประเทศและลงทุนของภาคเอกชน ส่วนหนึ่งเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและเพิ่มรายได้ของประเทศ และอีกส่วนหนึ่งเพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านที่กำลัง พัฒนาประเทศอย่างขะมักเขม้น ถ้าเราล้าหลังในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น หรือมีภาษีที่สูงเกินไป เราก็อาจจะไม่เป็นที่ดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่จะย้ายฐานการผลิตมาที่ ประเทศไทย ณ จุดนี้ ชัดเจนว่า รัฐบาลจะต้องเลือกว่าจะจัดสรรเงินภาษีที่มีอยู่จำกัดไปยัง “การลงทุน” เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หรือใช้ไปกับบริการสาธารณะของรัฐสวัสดิการที่พูดกัน ซึ่งในความเป็นจริง จากข้อจำกัดต่างๆ ต่อให้อยากทำรัฐสวัสดิการแบบเต็มรูปแบบ ก็คงทำได้อย่างจำกัดทำได้แบบครึ่งๆกลางๆเท่านั้น และถ้าไม่ระวังให้ดี รัฐจะมีภาระอีกมากจากโครงการเหล่านี้