การค้ำประกัน เป็นการประกันการชำระหนี้ด้วยบุคคลอันเป็นสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งบุคคลอื่นนอกเหนือจากเจ้าหนี้และลูกหนี้ยอมตกลงกับเจ้าหนี้ว่าหากลูกหนี้ ไม่ชำระหนี้ ตนจะยอมชำระหนี้ให้เจ้าหนี้แทน เป็นการเอาความน่าเชื่อถือหรือความมีฐานะทางการเงินของตนเองเข้าประกันจะชำระหนี้ให้ บุคคลนี้เรียกว่า “ผู้ค้ำประกัน” หลักกฎหมายเรื่องการค้ำประกันจึงเป็นที่มีการคุมครองสิทธิประโยชน์ของเจ้าหนี้ ส่งผลให้เจ้าหนี้มีความมั่นใจที่จะเข้าทำนิติสัมพันธ์กับลูกหนี้ อันมีลักษณะเป็นการตอบแทนในทางปฏิบัติและมีผลต่อการได้รับการชำระหนี้ในอนาคต เช่น ดอกเบี้ย เป็นต้น นอกจากนี้ การค้ำประกันยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่ลูกหนี้ด้วย เช่นในการค้ำประกันในการศึกษาต่อในต่างประเทศ หรือในการค้ำประกันการกู้ยืมเงินแก่ลูกหนี้ ทำให้ลูกหนี้มีเงินทุนสำหรับการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในทางธุรกิจหรือการพาณิชย์ได้ ตลอดจนทำให้เกิดกระตุ้นทางเศรษฐกิจของประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของผู้ค้ำประกันในปัจจุบันนั้นข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติปรากฏว่าเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบอาชีพให้กู้ยืม มักจะอาศัยอำนาจต่อรองที่สูงกว่าหรือความได้เปรียบในทางการเงินกำหนดข้อตกลงอันเป็นการยกเว้นสิทธิของผู้ค้ำประกันตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเสมือนเป็นลูกหนี้ชั้นต้น จึงเป็นการสร้างภาระและเป็นการเสียเวลา ทั้งยังเป็นการเสียทรัพย์สินที่ตนไม่ได้ก่อขึ้น
อนึ่ง เจ้าหนี้ก็มักจะให้ผู้ค้ำประกันทำข้อตกลงตั้งแต่ตอนทำสัญญาว่า ผู้ค้ำประกันตกลงว่าจะไม่ใช้สิทธิดังกล่าวเหล่านั้นทั้งในข้อสัญญามักจะมีข้อที่อาจจำกัดสิทธิและหน้าที่ของผู้ค้ำประกันให้ไม่มีทางที่จะปฎิเสธ การชำระหนี้ได้อีกด้วย เช่น การกำหนดให้ผู้คำประกันต้องรับผิดอย่างไม่จำกัดจำนวนในหนี้ที่ลูกหนี้ได้ก่อขึ้นในระหว่างการทำสัญญา เป็นต้น ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวล้วนเป็นการสร้างภาระให้แก่ผู้ค้ำประกันและถือเป็นการเอาเปรียบในทางสัญญาขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายและขัดกับการแสดงเจตนาที่สุจริตของผู้ค้ำประกันได้ และด้วยเหตุที่บทบัญญัติที่คู่สัญญาได้ตกลงยกเว้นดังกล่าวเหล่านั้นไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ข้อตกลงยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายเหล่านั้นจึงไม่เป็นโมฆะ ใช้บังคับกันได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวนั้นหากเจ้าหนี้ได้กำหนดข้อสัญญาดังกล่าวในการที่เอาเปรียบผู้ค้ำประกันมากเกินไป ก็อาจทำให้ผู้ค้ำประกันหมดสิทธิที่จะปฎิเสธการชำระหนี้ และยอมชดใช้หนี้ที่ตนเองมิได้ก่อขึ้นเกินสมควร ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นแก่ผู้ค้ำประกัน รวมทั้งต้องกลายเป็นผู้ถูกฟ้องล้มละลายอีกเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นแล้ว จึงควรเห็นศึกษาบทบัญญัติเกี่ยวกับผู้ค้ำประกันและปัญหาของผู้ค้ำประกัน ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2557 และบทบัญญัติว่าด้วยการค้ำประกับด้วยบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมทั้งศึกษาบทบัญญัติที่มีลักษณะเช่นเดียวกันกับบทบัญญัติของต่างประเทศว่าด้วยการค้ำประกันด้วยบุคคล เพื่อให้ทราบถึงแนวความคิด ที่มาของบทบัญญัติของกฎหมาย รวมถึงศึกษาเหตุแห่งการออกพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าวให้มีความทันสมัยและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายและเป็นการมาตรการการคุ้มครองสิทธิของผู้ค้ำประกันให้เป็นตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อกำหนดแนวทางและกรอบความคิดในการศึกษาให้มีความชัดเจน ถูกต้อง และเป็นธรรมกับผู้ค้ำประกันต่อไป