consisted mainly of members of the

consisted mainly of members of the middle class with the education and experience needed to run the government. Since kings were usually desperate for money, they resorted to selling government offices, a practice known as venality of office. This system had its good and bad points. The main good points were that it provided the king with some much needed cash and officials who showed more efficiency and loyalty to their king than the old feudal nobility had.
The main drawback was that such a system bred corruption, since money, not ability, was often the key to gaining office. Bureaucrats tended to assume their own consciousness as a class, maintaining a common silence to thwart any attempts to weed out corruption. They could often successfully resist or slow down reforms or other policies they did not like. But, for all the problems the new bureaucracy created, it was still more efficient than the old feudal system and gave kings a far greater degree of control over their states.

The new warfare

Renaissance armies told a similar story, being somewhat unruly but still better than their feudal predecessors. The ranks were now filled with mercenaries who fought until the king's money ran out. This gave the king much longer campaigning seasons than the forty days that feudal vassals typically owed. But it could still present some serious, and, at times, embarrassing problems. As soon as the king ran out of money, such armies would often desert or refuse to fight any longer. Also, since they were not usually natives of the state they were fighting for, they often had no qualms about plundering the people they were supposedly defending. Despite these drawbacks, Renaissance armies gave kings in Western Europe much tighter control over their states, largely because they were so expensive that no one but kings could afford to maintain them.

Part of that expense lay in the new type of warfare emerging by 1500. Although heavily armored knights were still prominent, their role was being reduced by two new ways of fighting, one medieval and one modern. One was massed formations of pikemen, reminiscent of the old Greek and Macedonian phalanxes, who formed the core of the Renaissance army. Until the early 1500's, the Swiss were reputedly Europe's best pikemen, and every prince wanted Swiss mercenaries in his army, no matter what the cost. In the 1500's, German pikemen, known as landsknechte, and Spanish pikemen would rival the Swiss in their reputations for ferocity on the battlefield.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ประกอบด้วยส่วนใหญ่ของสมาชิกของชนชั้นกลางกับการศึกษาและประสบการณ์ที่จำเป็นในการทำงานรัฐบาล เนื่องจากกษัตริย์ได้ปกติหมดหวังเงิน พวกเขา resorted การขายราชการ ปฏิบัติเรียกว่าเป็น venality ของสำนักงาน ระบบนี้มีจุดดี และ กระทู้ดีมีให้กษัตริย์กับเงินสดที่จำเป็นมากและเจ้าหน้าที่ที่พบว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นและสมาชิกของกษัตริย์กว่าขุนนางศักดินาเก่า ได้ข้อเสียเปรียบหลักถูกว่า กล่าว bred ทุจริต เนื่องจากมักจะมีเงิน ไม่สามารถ คีย์จะได้รับสำนักงาน Bureaucrats มีแนวโน้มที่ทึกทักตนสติเป็นคลาส รักษาความเงียบทั่วไปการพยายามใด ๆ บางกลุ่มเสียหาย พวกเขามักจะประสบความสำเร็จสามารถต่อต้าน หรือชะลอการปฏิรูปหรือนโยบายอื่น ๆ ก็ไม่แพง แต่ สำหรับทุกปัญหา ระบบราชการใหม่ที่สร้างขึ้น ได้ยังมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบศักดินาเก่า และให้คิงส์ตัวไกลมากขึ้นการควบคุมของรัฐสงครามใหม่กองทัพเรอเนสซองซ์บอกเรื่องราวคล้ายกัน มีวินัยบ้าง แต่ยังดีกว่าศักดินาบรรดาลูกหลาน ถึงตอนนี้เต็มไป ด้วยทหารรับจ้างที่สู้กันจนพระเงินวิ่งออกมา นี้ให้กษัตริย์ซีซั่นมาก campaigning อีกต่อไปกว่าสี่สิบวันที่ vassals ศักดินาเป็นหนี้ปกติ แต่มันยังสามารถนำเสนอบางอย่างจริง จัง และ เวลา ปัญหาอาย เป็นกษัตริย์พอเงิน เช่นกองทัพจะร้างบ่อย หรือปฏิเสธจะต่อสู้อีกต่อไป ยัง เนื่องจากพวกเขาไม่ปกติชาวพื้นเมืองของพวกเขาได้ต่อสู้เพื่อรัฐ พวกเขามักจะได้ไม่ลังเลมาปล้นคนพวกเขาคาดคะเนถูกปกป้อง แม้ มีข้อเสียเหล่านี้ เรอเนสซองซ์กองทัพให้พระมหากษัตริย์ในยุโรปตะวันตกมากของอเมริกา ควบคุมสัดส่วนใหญ่เนื่องจากพวกเขาคว้าที่หนึ่งแต่พระมหากษัตริย์อาจสามารถรักษาให้ส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่วางในชนิดใหม่ของสงครามที่เกิดขึ้น โดย 1500 แม้ว่าอัศวินเกราะหนักก็ยังคงโดดเด่น บทบาทของตนได้ถูกลดลง โดยสองวิธีใหม่ในการต่อสู้ หนึ่งในยุคกลาง และสมัยหนึ่ง คนพ่วงหน้าพ่วงหลังการก่อตัวของ pikemen ของเก่าภาษากรีก และภาษามาซิโดเนีย phalanxes ผู้ก่อตั้งหลักของกองทัพเรอเนสซองซ์ จนถึง 1500's ต้น สวิสได้ลด pikemen ที่สุดของยุโรป และทุกเจ้าต้องทหารรับจ้างสวิสทัพ ไม่ว่าต้นทุนใด ใน 1500's เยอรมัน pikemen, landsknechte และ pikemen สเปนที่รู้จักกันจะคู่ต่อสู้สวิสในตนย่อมสำหรับความดุร้ายในสนามรบอื่น ๆ ใหม่ และแพงองค์ประกอบเกิดขึ้นในสงครามใหม่ดินปืนได้ แขวนบน flanks ของแต่ละช่องจนได้คนที่ wielding muskets ดั้งเดิม ปืนดังกล่าวถูกหนัก หนักโหลด และได้ยากเพื่อจุดมุ่งหมายได้อย่างถูกต้อง พวกเขายังแสดงอันตรายของการเป่าขึ้นในหน้าผู้ใช้ของพวกเขา ยัง พวกเขาอาจจะร้ายแรงมากเมื่อยิงในพ่วงหน้าพ่วงหลัง volleys มีหลากหลายถึง 100 เมตร สมดุล แต่คงปรับปรุง เช่นนกปืนที่รอดมือทั้งสำหรับการเล็ง ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้นที่ 1400's และ 1500's ผล จำนวนทหารเสือ และต้นทุนของพวกเขา ค่อย ๆ ปีนขึ้นตลอดช่วงเวลานี้ การรวมกันของอาวุธของปืนกับก่อตัวจนแข็งพิสูจน์ให้ นวัตกรรมทหารมีศักยภาพมากที่สุดของเรเนสซอง จะปกครองยุโรปต่อสู้จนถึงหลัง 1600 ของเมื่อดี muskets และ bayonet ที่ยุติ pikeman ดี

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ส่วนใหญ่ประกอบด้วยสมาชิกของชนชั้นกลางที่มีการศึกษาและประสบการณ์ที่จำเป็นในการทำงานของรัฐบาล ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ก็มักจะหมดหวังสำหรับเงินที่พวกเขาหันไปขายที่ราชการ, การปฏิบัติที่เรียกว่าความเลวทรามของสำนักงาน ระบบนี้มีจุดดีและไม่ดี จุดดีหลักที่จะให้พระมหากษัตริย์ที่มีบางส่วนเงินสดที่จำเป็นมากและเจ้าหน้าที่ที่แสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ของพวกเขามากกว่าขุนนางศักดินาเก่าได้.
ข้อเสียเปรียบหลักคือการที่ระบบดังกล่าวทุจริตพันธุ์เนื่องจากเงินไม่ความสามารถ มักจะเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดสำนักงาน ข้าราชการมีแนวโน้มที่จะคิดจิตสำนึกของตัวเองเป็นชั้นการรักษาความเงียบเรื่องธรรมดาที่จะขัดขวางความพยายามที่จะคัดออกทุจริต พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จมักจะต่อต้านหรือชะลอการปฏิรูปหรือนโยบายอื่น ๆ ที่พวกเขาไม่ชอบ แต่สำหรับทุกปัญหาที่ระบบราชการใหม่ที่สร้างขึ้นมันก็ยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าระบบศักดินาเก่าและให้พระมหากษัตริย์ในระดับที่ไกลมากขึ้นในการควบคุมของสหรัฐฯ. สงครามใหม่กองทัพเรเนซองส์บอกว่าเรื่องที่คล้ายกันเป็นค่อนข้างเกเร แต่ก็ยังดีกว่า กว่ารุ่นก่อนของพวกเขาเกี่ยวกับระบบศักดินา อันดับที่เต็มไปตอนนี้มีทหารรับจ้างที่ต่อสู้จนเงินของกษัตริย์ที่วิ่งออกมา ฤดูกาลนี้ให้กษัตริย์รณรงค์นานกว่าสี่สิบวันที่ศักดินา vassals หนี้ที่ค้างชำระโดยทั่วไป แต่ก็ยังสามารถนำเสนอบางส่วนอย่างจริงจังและในบางครั้งปัญหาที่น่าอาย ทันทีที่พระมหากษัตริย์วิ่งออกมาจากเงินกองทัพดังกล่าวมักจะละทิ้งหรือปฏิเสธที่จะต่อสู้ได้อีกต่อไป นอกจากนี้เนื่องจากพวกเขามักจะไม่พื้นเมืองของรัฐที่พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อพวกเขามักจะมี qualms ไม่เกี่ยวกับการปล้นคนที่พวกเขาได้รับการคาดคะเนการปกป้อง แม้จะมีข้อบกพร่องเหล่านี้กองทัพเรเนสซองให้พระมหากษัตริย์ในยุโรปตะวันตกการควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้นมากขึ้นกว่ารัฐของพวกเขาส่วนใหญ่เพราะพวกเขาจึงมีราคาแพงว่าไม่มีใคร แต่พระมหากษัตริย์สามารถที่จะรักษาพวกเขา. ส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่วางในรูปแบบใหม่ของการสู้รบที่เกิดขึ้นใหม่ 1500 แม้ว่าอัศวินอาวุธหนักก็ยังคงโดดเด่นบทบาทของพวกเขาถูกลดลงโดยทั้งสองวิธีการใหม่ของการต่อสู้หนึ่งในยุคกลางและเป็นหนึ่งในที่ทันสมัย คนหนึ่งถูกมวลชนก่อตัวของหอกชวนให้นึกถึง phalanxes กรีกและมาซิโดเนียเก่าที่เกิดขึ้นหลักของกองทัพยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา จนกระทั่งในช่วงต้น 1500 ที่สวิสมีความโด่งดังของยุโรปหอกที่ดีที่สุดและเจ้าชายทุกคนอยากให้ทหารรับจ้างชาวสวิสในกองทัพของเขาไม่ว่าสิ่งที่ค่าใช้จ่าย ใน 1,500 ของหอกเยอรมันที่รู้จักกันเป็น landsknechte และหอกสเปนจะเป็นคู่แข่งชาวสวิสในชื่อเสียงของพวกเขาสำหรับความรุนแรงในสนามรบ. องค์ประกอบใหม่และมีราคาแพงอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ในสงครามใหม่ดินปืน ที่แขวนอยู่บนปีกของตารางหอกแต่ละคนควงปืนดั้งเดิม ปืนดังกล่าวหนักยากที่จะโหลดและก็ยากที่จะมีจุดมุ่งหมายที่ถูกต้อง พวกเขายังนำเสนออันตรายจากการระเบิดขึ้นในใบหน้าของพวกเขาของผู้ใช้ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาอาจจะร้ายแรงมากเมื่อยิงก้องมวลชนมีช่วงถึง 100 เมตร แต่การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องค่อยเป็นค่อยไปเช่นนกปืนที่มือทั้งสองข้างเป็นอิสระสำหรับเล็งทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้นตลอดทั้ง 1400 และ 1500 เป็นผลให้จำนวนเสือและค่าใช้จ่ายของพวกเขาค่อยๆปีนขึ้นตลอดระยะเวลานี้ การรวมกันของอาวุธปืนที่มีการก่อตัวหอกของแข็งพิสูจน์แล้วว่าเป็นนวัตกรรมทางทหารที่มีศักยภาพมากที่สุดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา มันปกครองดำริของยุโรปจนกระทั่งต่อมา 1600 เมื่อปืนที่ดีขึ้นและดาบปลายปืนแบ่งออก pikeman ให้ดี

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

Consisted mainly of members of the middle class with the education and experience needed to run the government. Since kings. Were usually desperate for money they resorted, to selling government offices a practice, known as venality of office. This. System had its good and bad points. The main good points were that it provided the king with some much needed cash and officials. Who showed more efficiency and loyalty to their king than the old feudal nobility had.The main drawback was that such a system bred corruption since, ability, money not, often was the key to gaining, office. Bureaucrats tended to assume their own consciousness as a class maintaining a, common silence to thwart any attempts to. Weed out corruption. They could often successfully resist or slow down reforms or other policies they did not like, But,. For all the problems the new, bureaucracy created it was still more efficient than the old feudal system and gave kings. A far greater degree of control over their states.The new warfare.Renaissance armies told a similar story being somewhat, unruly but still better than their feudal predecessors. The ranks. Were now filled with mercenaries who fought until the king 's money ran out. This gave the king much longer campaigning seasons. Than the forty days that feudal vassals typically owed. But it could still present some serious and at times embarrassing,,,, Problems. As soon as the king ran out, of money such armies would often desert or refuse to fight any longer. Also since,, They were not usually natives of the state they were, fighting for they often had no qualms about plundering the people. They were supposedly defending. Despite these drawbacks Renaissance armies, gave kings in Western Europe much tighter control. Over their states largely because, they were so expensive that no one but kings could afford to maintain them.Part of that expense lay in the new type of warfare emerging by 1500. Although heavily armored knights were, still prominent. Their role was being reduced by two new ways, of fighting one medieval and one modern. One was massed formations, of pikemen. Reminiscent of the old Greek and, Macedonian phalanxes who formed the core of the Renaissance army. Until the early 1500, s. ' The Swiss were reputedly Europe 's, best pikemen and every Prince wanted Swiss mercenaries in his army no matter, what the. Cost. In the 1500 ', pikemen s German, as, known landsknechte and Spanish pikemen would rival the Swiss in their reputations. For ferocity on the battlefield.The other new and expensive element emerging in the new warfare was gunpowder. Hanging on the flanks of each pike square. Were men wielding primitive muskets. Such guns were heavy hard load, to, even and harder to aim accurately. They also presented. The danger of blowing up in their users' faces. Still they could, be very deadly when fired in massed volleys having a,, Range of up to 100 meters. Gradual but, constant improvements such as the matchlock that freed both hands, for aiming made. Them increasingly effective throughout the 1400 's and 1500' s. As a result the number, of musketeers and their cost gradually,,, Climbed throughout this period. The combination of guns' firepower with the solid pike formations proved to be the most. Potent military innovation of the Renaissance. It ruled Europe 's battlefields until the later 1600' s when better muskets. And the bayonet phased out the pikeman for good.