ความจริงการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายในประเทศไทยมีมาเป็นเวลานานแล้วก่อนท การแปล - ความจริงการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายในประเทศไทยมีมาเป็นเวลานานแล้วก่อนท ไทย วิธีการพูด

ความจริงการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมาย

ความจริงการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายในประเทศไทยมีมาเป็นเวลานานแล้วก่อนที่จะมีการศึกษากฎหมายอย่างมีแบบแผนตามแบบอย่างประเทศตะวันตก นักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันมีความเห็นว่าประวัติศาสตร์กฎหมาย หมายถึง วิวัฒนาการของแนวความคิด หลักเกณฑ์ความประพฤติ และกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มนุษย์ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม หลักเกณฑ์และกฎเกณฑ์ต่างๆเหล่านี้จะต้องแปลความตามเวลาและสถานการณ์ในขณะนั้น
ยุคก่อนสมัยใหม่นั้น หากพิจารณาลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่ากฎหมายไทยในยุคนี้ยังแบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ
(1) ช่วงที่เป็นกฎหมายไทยเดิมแท้ๆกล่าวคือ กฎหมายในช่วงนี้เป็นกฎหมายที่มาจากวัฒนธรรมและจารีตประเพณีของสังคมไทยแท้ๆ ก่อนที่จะได้รับอิทธพลของวัฒนธรรมอินเดีย ระยะเวลาในช่วงนี้จะเริ่มจากถิ่นกำเนิดคนไทยจนถึงสมัยสุโขทัย ซึ่งจากการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการก็พบว่าสังคมไทยดั้งเดิมนั้นเป็นสังคมแบบมาตาธิปไตย คือ ถือแม่เป็นใหญ่ คือ ชายหญิงเมื่อสมรสกันแล้วชายต้องมาอยู่กับครอบครัวของหญิง หญิงจึงเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรและเก็บรักษาทรัพย์สิน ธรรมเนียมการสมรสที่ชายต้องอาศัยตระกูลของหญิงทำให้หญิงสำนึกว่าตัวเป็นเจ้าของบ้าน
ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะสำคัญทางโครงสร้างพื้นฐานของสังคมไทยซึ่งเป็นลักษณะที่ดั้งเดิมที่สุด แต่โครงสร้างพื้นฐานที่กล่าวนี้ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อชนชาติไทยที่อยู่ในแหลมอินโดจีนได้สัมผัสและรับวัฒนธรรมอินเดียเข้ามา
(2) กฎหมายในช่วงที่สองนั้นเป็นกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งวัฒนธรรมอินเดียนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ถือชายเป็นใหญ่หรือเรียกว่า ปิตาธิปไตย ทำให้สถานภาพหญิงเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อมาถึงสมัยที่ใช้คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ ได้มีการกล่าวถึงสถานภาพของสตรีว่า ผู้หญิงเป็นเพียงที่พัก เป็นเพียงส่วนประกอบของผู้ชายและมีธรรมชาติที่เลวร้ายในตัวถ้าไม่ได้รับการอบรมที่ดี จึงมีการห้ามผู้หญิงทำพิธีกรรม เพราะถือว่าหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ นอกจากนี้ยังถือว่าหญิงเป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ จึงมีการห้ามผู้หญิงเป็นพยาน กฎเกณฑ์ทางสังคมเหล่านี้สะท้อนความเชื่อที่ว่าผู้หญิงเปรียบประดุจวัตถุสิ่งของที่ขึ้นอยู่กับการจับวางของชายผู้เป็นเจ้าของ
ยุคกฎหมายไทยสมัยใหม่ การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายไทยในช่วงนี้จะเริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นเวลาที่ประเทศไทยได้เริ่มรับแนวคิดจากกฎหมายตะวันตก ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายสมัยใหม่ เข้ามาในสังคมไทยและมีการจัดทำประมวลกฎหมายต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงอาจกล่าวได้ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นจุดที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติแบบสมัยใหม่ สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายในสมัยใหม่นี้ อาจแยกวิวัฒนาการออกได้เป็น 3 ช่วงเวลา คือ
ครั้งแรก รับเอากฎหมายอังกฤษเข้ามาใช้ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องไปก่อน เพราะการปฏิรูปกฎหมายทั้งระบบจะต้องใช้เวลานาน ความไม่เหมาะสมกับกาลสมัยของกฎหมายไทยเดิม ในด้านศักดิ์ศรีและความเท่าเทียมกันของมนุษย์ การรับรองความศักดิ์สิทธิ์ของทรัพย์สินเอกชน ความคิดเกี่ยวกับกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญาตามหลักกฎหมายสมัยใหม่
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงริเริ่มปรับปรุงระบบกฎหมายตามแบบตะวันตก ได้มีการประกาศใช้กฎหมายมากมายร่วม ๕๐๐ ฉบับ ซึ่งมีประกาศส่วนหนึ่งแสดงถึงแนวพระราชดำริที่ปรับเปลี่ยนความคิดของคนไทยให้ทัดเทียมอารยประเทศ เช่น ทรงออกประกาศยกเลิกประเพณีบิดามารดาหรือสามีขายบุตรภรรยาลงเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ เป็นต้น
กฎหมายสมัยปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายสมัยใหม่ อาทิเช่น เรื่องที่เกี่ยวกับสถานภาพของบุคคล เรื่องที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เรื่องที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีและลงโทษผู้กระทำผิด เรื่องที่เกี่ยวกับการปกครอง
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
ความจริงการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายในประเทศไทยมีมาเป็นเวลานานแล้วก่อนที่จะมีการศึกษากฎหมายอย่างมีแบบแผนตามแบบอย่างประเทศตะวันตกนักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันมีความเห็นว่าประวัติศาสตร์กฎหมายหมายถึงวิวัฒนาการของแนวความคิดหลักเกณฑ์ความประพฤติและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมหลักเกณฑ์และกฎเกณฑ์ต่างๆเหล่านี้จะต้องแปลความตามเวลาและสถานการณ์ในขณะนั้นยุคก่อนสมัยใหม่นั้นหากพิจารณาลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่ากฎหมายไทยในยุคนี้ยังแบ่งได้เป็น 2 ช่วงคือ(1) ช่วงที่เป็นกฎหมายไทยเดิมแท้ๆกล่าวคือกฎหมายในช่วงนี้เป็นกฎหมายที่มาจากวัฒนธรรมและจารีตประเพณีของสังคมไทยแท้ ๆ ก่อนที่จะได้รับอิทธพลของวัฒนธรรมอินเดียระยะเวลาในช่วงนี้จะเริ่มจากถิ่นกำเนิดคนไทยจนถึงสมัยสุโขทัยซึ่งจากการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการก็พบว่าสังคมไทยดั้งเดิมนั้นเป็นสังคมแบบมาตาธิปไตยคือถือแม่เป็นใหญ่คือชายหญิงเมื่อสมรสกันแล้วชายต้องมาอยู่กับครอบครัวของหญิงหญิงจึงเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรและเก็บรักษาทรัพย์สินธรรมเนียมการสมรสที่ชายต้องอาศัยตระกูลของหญิงทำให้หญิงสำนึกว่าตัวเป็นเจ้าของบ้านลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะสำคัญทางโครงสร้างพื้นฐานของสังคมไทยซึ่งเป็นลักษณะที่ดั้งเดิมที่สุดแต่โครงสร้างพื้นฐานที่กล่าวนี้ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อชนชาติไทยที่อยู่ในแหลมอินโดจีนได้สัมผัสและรับวัฒนธรรมอินเดียเข้ามา(2) กฎหมายในช่วงที่สองนั้นเป็นกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียซึ่งวัฒนธรรมอินเดียนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ถือชายเป็นใหญ่หรือเรียกว่าปิตาธิปไตยทำให้สถานภาพหญิงเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดแต่เมื่อมาถึงสมัยที่ใช้คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ได้มีการกล่าวถึงสถานภาพของสตรีว่าผู้หญิงเป็นเพียงที่พักเป็นเพียงส่วนประกอบของผู้ชายและมีธรรมชาติที่เลวร้ายในตัวถ้าไม่ได้รับการอบรมที่ดีจึงมีการห้ามผู้หญิงทำพิธีกรรมเพราะถือว่าหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอนอกจากนี้ยังถือว่าหญิงเป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือจึงมีการห้ามผู้หญิงเป็นพยานกฎเกณฑ์ทางสังคมเหล่านี้สะท้อนความเชื่อที่ว่าผู้หญิงเปรียบประดุจวัตถุสิ่งของที่ขึ้นอยู่กับการจับวางของชายผู้เป็นเจ้าของยุคกฎหมายไทยสมัยใหม่การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายไทยในช่วงนี้จะเริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์อันเป็นเวลาที่ประเทศไทยได้เริ่มรับแนวคิดจากกฎหมายตะวันตกซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายสมัยใหม่เข้ามาในสังคมไทยและมีการจัดทำประมวลกฎหมายต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงอาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นจุดที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติแบบสมัยใหม่สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายในสมัยใหม่นี้อาจแยกวิวัฒนาการออกได้เป็น 3 ช่วงเวลาคือครั้งแรกรับเอากฎหมายอังกฤษเข้ามาใช้เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องไปก่อนเพราะการปฏิรูปกฎหมายทั้งระบบจะต้องใช้เวลานานความไม่เหมาะสมกับกาลสมัยของกฎหมายไทยเดิมในด้านศักดิ์ศรีและความเท่าเทียมกันของมนุษย์การรับรองความศักดิ์สิทธิ์ของทรัพย์สินเอกชนความคิดเกี่ยวกับกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญาตามหลักกฎหมายสมัยใหม่ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ได้ทรงริเริ่มปรับปรุงระบบกฎหมายตามแบบตะวันตกได้มีการประกาศใช้กฎหมายมากมายร่วม ๕๐๐ ฉบับซึ่งมีประกาศส่วนหนึ่งแสดงถึงแนวพระราชดำริที่ปรับเปลี่ยนความคิดของคนไทยให้ทัดเทียมอารยประเทศเช่นทรงออกประกาศยกเลิกประเพณีบิดามารดาหรือสามีขายบุตรภรรยาลงเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจเพื่อนำเงินมาชำระหนี้เป็นต้นกฎหมายสมัยปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายสมัยใหม่อาทิเช่นเรื่องที่เกี่ยวกับสถานภาพของบุคคลเรื่องที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเรื่องที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีและลงโทษผู้กระทำผิดเรื่องที่เกี่ยวกับการปกครอง
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
หมายถึงวิวัฒนาการของแนวความคิดหลักเกณฑ์ความประพฤติและกฎเกณฑ์ต่างๆ
2 ช่วงคือ
(1) คือถือแม่เป็นใหญ่คือ ปิตาธิปไตย ได้มีการกล่าวถึงสถานภาพของสตรีว่าผู้หญิงเป็นเพียงที่พัก จึงมีการห้ามผู้หญิงทำพิธีกรรมเพราะถือว่าหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ จึงมีการห้ามผู้หญิงเป็นพยาน 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายสมัยใหม่ 5 จึงอาจกล่าวได้ว่า อาจแยกวิวัฒนาการออกได้เป็น 3 เวลาคือช่วงครั้งแรกรับเอากฎหมายอังกฤษเข้ามาใช้ ได้มีการประกาศใช้กฎหมายมากมายร่วม 500 ฉบับ เช่น เป็นต้นกฎหมายสมัยปัจจุบัน อาทิเช่นเรื่องที่เกี่ยวกับสถานภาพของบุคคล เรื่องที่เกี่ยวกับการปกครอง






การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
ความจริงการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายในประเทศไทยมีมาเป็นเวลานานแล้วก่อนที่จะมีการศึกษากฎหมายอย่างมีแบบแผนตามแบบอย่างประเทศตะวันตกนักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันมีความเห็นว่าประวัติศาสตร์กฎหมายหมายถึงหลักเกณฑ์ความประพฤติและกฎเกณฑ์ต่างๆที่มนุษย์ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมหลักเกณฑ์และกฎเกณฑ์ต่างๆเหล่านี้จะต้องแปลความตามเวลาและสถานการณ์ในขณะนั้น
ยุคก่อนสมัยใหม่นั้นหากพิจารณาลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่ากฎหมายไทยในยุคนี้ยังแบ่งได้เป็น
ช่วงความ 2( 1 ) ช่วงที่เป็นกฎหมายไทยเดิมแท้ๆกล่าวคือกฎหมายในช่วงนี้เป็นกฎหมายที่มาจากวัฒนธรรมและจารีตประเพณีของสังคมไทยแท้ๆก่อนที่จะได้รับอิทธพลของวัฒนธรรมอินเดียซึ่งจากการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการก็พบว่าสังคมไทยดั้งเดิมนั้นเป็นสังคมแบบมาตาธิปไตยความถือแม่เป็นใหญ่ความชายหญิงเมื่อสมรสกันแล้วชายต้องมาอยู่กับครอบครัวของหญิงธรรมเนียมการสมรสที่ชายต้องอาศัยตระกูลของหญิงทำให้หญิงสำนึกว่าตัวเป็นเจ้าของบ้าน
ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะสำคัญทางโครงสร้างพื้นฐานของสังคมไทยซึ่งเป็นลักษณะที่ดั้งเดิมที่สุด( 2 ) กฎหมายในช่วงที่สองนั้นเป็นกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียซึ่งวัฒนธรรมอินเดียนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ถือชายเป็นใหญ่หรือเรียกว่าปิตาธิปไตยทำให้สถานภาพหญิงเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดได้มีการกล่าวถึงสถานภาพของสตรีว่าผู้หญิงเป็นเพียงที่พักเป็นเพียงส่วนประกอบของผู้ชายและมีธรรมชาติที่เลวร้ายในตัวถ้าไม่ได้รับการอบรมที่ดีจึงมีการห้ามผู้หญิงทำพิธีกรรมเพราะถือว่าหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอจึงมีการห้ามผู้หญิงเป็นพยานกฎเกณฑ์ทางสังคมเหล่านี้สะท้อนความเชื่อที่ว่าผู้หญิงเปรียบประดุจวัตถุสิ่งของที่ขึ้นอยู่กับการจับวางของชายผู้เป็นเจ้าของ
ยุคกฎหมายไทยสมัยใหม่การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายไทยในช่วงนี้จะเริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์อันเป็นเวลาที่ประเทศไทยได้เริ่มรับแนวคิดจากกฎหมายตะวันตกซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายสมัยใหม่5 จึงอาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นจุดที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติแบบสมัยใหม่สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายในสมัยใหม่นี้อาจแยกวิวัฒนาการออกได้เป็นช่วงเวลาความ
3ครั้งแรกรับเอากฎหมายอังกฤษเข้ามาใช้เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องไปก่อนเพราะการปฏิรูปกฎหมายทั้งระบบจะต้องใช้เวลานานความไม่เหมาะสมกับกาลสมัยของกฎหมายไทยเดิมการรับรองความศักดิ์สิทธิ์ของทรัพย์สินเอกชนความคิดเกี่ยวกับกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญาตามหลักกฎหมายสมัยใหม่
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ได้ทรงริเริ่มปรับปรุงระบบกฎหมายตามแบบตะวันตกได้มีการประกาศใช้กฎหมายมากมายร่วม๕๐๐ฉบับเช่นทรงออกประกาศยกเลิกประเพณีบิดามารดาหรือสามีขายบุตรภรรยาลงเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจเพื่อนำเงินมาชำระหนี้เป็นต้น
กฎหมายสมัยปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายสมัยใหม่อาทิเช่นเรื่องที่เกี่ยวกับสถานภาพของบุคคลเรื่องที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเรื่องที่เกี่ยวกับการปกครอง
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: