Diversification (14)Greater securit

Diversification (14)
Greater security of supply is about not relying on one form of energy or on a handful of supplier countries outside the EU. It is about producing more energy within the EU, and where necessary ensuring supply from other stable regions of the world. It is also about agreeing to share supplies in times of crisis since the level of import dependence of different EU countries varies considerably.
Some 80% of the energy the EU consumes is from fossil fuels — oil, natural gas and coal — all of them major sources of CO2(ซีโอทู)emissions. Technology is helping reduce those emissions, and ‘clean’ coal technology should be operational within the next decade or so. Nevertheless, fossil fuel is a finite resource, which will have been significantly depleted by the middle of this century. Reducing the use of fossil fuels thus contributes to improving the EU’s energy security as well as helping to limit climate change.
Moreover, the EU’s own fossil fuel resources are being depleted faster than those of the world as a whole. It is becoming increasingly dependent on imports, and therefore increasingly vulnerable to supply and price shocks. Dependence on imported oil could rise to 95% and on imported gas to 84% by 2030, if energy consumption is not checked and the fuel mix changed. At present, the EU gets about 50% of the gas it consumes from just three sources — Russia, Norway and Algeria — and imports about two-thirds of its oil needs from the Organisation of Petroleum Exporting Countries (OPEC) and Russia. The overall level of the EU’s reliance on imported energy was 53.8% in 2006.
Diversification into more home-grown energy will need a greater use of low or zero carbon technologies based on renewable energy sources ,such as wind, solar, hydro power and biomass, since the EU is short of fossil fuel resources of its own. Ultimately we are likely to have hydrogen in the mix as well. Some EU countries will also use nuclear power as part of their energy mix. For the foreseeable future this will come from nuclear fission since nuclear fusion technology is not likely to become available before the second half of this century.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

กระจาย (14)ความปลอดภัยของอุปทานคือไม่ได้อาศัยอยู่ ในรูปของพลังงาน หรือ ในกำมือของผู้ผลิตประเทศนอกสหภาพยุโรป มันเป็นเรื่องการผลิตพลังงานภายใน EU และจำเป็นมั่นใจอุปทานจากภูมิภาคอื่น ๆ มีเสถียรภาพของโลก ก็ยังเกี่ยวกับการแชร์อุปกรณ์ในภาวะวิกฤตเนื่องจากระดับของการพึ่งพาการนำเข้าของประเทศต่าง ๆ แตกต่างกันมาก บางคน 80% ของพลังงานที่ใช้ EU เป็นจากเชื้อเพลิงฟอสซิล — น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน — พวกเขาใหญ่แหล่งที่มาของการปล่อย CO2 (ซีโอทู) เทคโนโลยีช่วยลดการปล่อยก๊าซเหล่านั้น และเทคโนโลยีถ่านหิน 'สะอาด' ควรดำเนินงานในทศวรรษถัดไปหรือดังนั้น แต่ เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นทรัพยากรจำกัด ซึ่งจะได้รับอย่างมีนัยสำคัญหมด โดยกลางศตวรรษนี้ ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจึงก่อให้เกิดการปรับปรุงความปลอดภัยพลังงานของสหภาพยุโรป เป็นการช่วยจำกัดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนอกจากนี้ ทรัพยากรเชื้อเพลิงฟอสซิลของ EU จะถูกหมดเร็วกว่าของโลกทั้งหมด มันจะกลายเป็นมากขึ้นในการนำเข้า และอุปทานและราคาดังนั้นเสี่ยงมากขึ้น พึ่งพานำเข้าน้ำมันอาจสูงขึ้น ถึง 95% และนำเข้าแก๊ส 84% 2030 ถ้าไม่มีการตรวจสอบการใช้พลังงาน และการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมน้ำมันเชื้อเพลิง ในปัจจุบัน ได้รับ EU ประมาณ 50% ของก๊าซที่มันกินจากสามแหล่ง — รัสเซีย นอร์เวย์ และแอลจีเรีย — และนำเข้าประมาณสองในสามของความต้องการน้ำมันจากองค์กรของปิโตรเลียมส่งออกประเทศน้ำมันและรัสเซีย ระดับการพึ่งพาพลังงานนำเข้าของสหภาพยุโรปโดยรวมเป็น 53.8% ในปี 2549 นี้ขยายบ้านปลูกพลังงานจะต้องใช้การต่ำ หรือเป็นศูนย์เทคโนโลยีคาร์บอนอิงแหล่งพลังงานทดแทน เช่นลม แสงอาทิตย์ พลังน้ำและชีวมวล เนื่องจากสหภาพยุโรปคือขาดทรัพยากรเชื้อเพลิงฟอสซิลของตัวเอง ในที่สุด เราจะมีโอกาสมีไฮโดรเจนในการผสมเป็นอย่างดี บางประเทศในสหภาพยุโรปจะใช้พลังงานนิวเคลียร์เป็นส่วนหนึ่งของการผสมผสานพลังงานของพวกเขา สำหรับอนาคตอันใกล้ นี้จะมาจากนิวเคลียร์ฟิชชันนิวเคลียร์ฟิวชั่นเทคโนโลยีไม่น่าจะพร้อมก่อนครึ่งหลังของศตวรรษนี้

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การกระจายการลงทุน (14)
การรักษาความปลอดภัยมากขึ้นของอุปทานเกี่ยวกับการไม่พึ่งพาพลังงานรูปแบบหนึ่งหรือในกำมือของประเทศผู้ผลิตนอกสหภาพยุโรป มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการผลิตพลังงานมากขึ้นในสหภาพยุโรปและในกรณีที่จำเป็นเพื่อให้มั่นใจว่าอุปทานจากภูมิภาคมั่นคงอื่น ๆ ของโลก นอกจากนี้ยังเป็นเกี่ยวกับการเห็นพ้องที่จะแบ่งปันวัสดุในช่วงวิกฤตตั้งแต่ระดับของการพึ่งพาการนำเข้าของประเทศในสหภาพยุโรปที่แตกต่างกันแตกต่างกันมาก.
บาง 80% ของพลังงานที่สหภาพยุโรปสิ้นเปลืองจากเชื้อเพลิงฟอสซิล - น้ำมันก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน - ทั้งหมดของพวกเขาที่สำคัญ แหล่งที่มาของ CO2 (ซีโอทู) การปล่อยมลพิษ เทคโนโลยีจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเหล่านั้นและ 'สะอาด' เทคโนโลยีถ่านหินควรจะดำเนินการภายในทศวรรษหน้าหรือดังนั้น อย่างไรก็ตามเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นทรัพยากรที่ จำกัด ซึ่งจะได้รับหมดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงกลางของศตวรรษนี้ การลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจึงก่อให้เกิดการปรับปรุงความมั่นคงด้านพลังงานของสหภาพยุโรปรวมทั้งช่วยในการ จำกัด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ.
นอกจากนี้ตัวเองทรัพยากรเชื้อเพลิงฟอสซิลของสหภาพยุโรปจะถูกหมดเร็วกว่าของโลกโดยรวม มันจะกลายเป็นขึ้นอยู่กับการนำเข้าและดังนั้นจึงมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะอุปทานและราคาแรงกระแทก การพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันอาจเพิ่มขึ้นถึง 95% และก๊าซที่นำเข้า 84% ในปี 2030 ถ้าใช้พลังงานไม่ได้ตรวจสอบและการผสมน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีการเปลี่ยนแปลง ในปัจจุบันสหภาพยุโรปได้รับประมาณ 50% ของก๊าซมันกินจากสามแหล่ง - รัสเซียนอร์เวย์และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย - และนำเข้าประมาณสองในสามของความต้องการน้ำมันจากองค์การการส่งออกน้ำมัน (OPEC) และรัสเซีย ระดับโดยรวมของความเชื่อมั่นของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับพลังงานที่นำเข้ามาเป็น 53.8% ในปี 2006
การกระจายการลงทุนให้เป็นพลังงานที่บ้านปลูกมากขึ้นจะต้องมีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่ำหรือคาร์บอนเป็นศูนย์อยู่บนพื้นฐานของแหล่งพลังงานหมุนเวียนเช่นลมแสงอาทิตย์พลังน้ำและชีวมวล เนื่องจากสหภาพยุโรปเป็นระยะสั้นของทรัพยากรเชื้อเพลิงฟอสซิลของมันเอง ในท้ายที่สุดเรามีแนวโน้มที่จะมีไฮโดรเจนในการผสมเช่นกัน บางประเทศในสหภาพยุโรปจะใช้พลังงานนิวเคลียร์เป็นส่วนหนึ่งของการผสมผสานพลังงานของพวกเขา ในอนาคตอันใกล้นี้จะมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ตั้งแต่เทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชั่นไม่น่าจะกลายเป็นใช้ได้ก่อนที่ครึ่งหลังของศตวรรษนี้

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

พิกัติ ( 14 )มากกว่าความปลอดภัยของอุปทานเกี่ยวกับไม่อาศัยรูปแบบหนึ่งของพลังงาน หรือหยิบของซัพพลายเออร์ที่ประเทศนอกสหภาพยุโรป มันเกี่ยวกับการผลิตพลังงานมากขึ้นภายใน EU และที่จำเป็นเพื่อให้มั่นใจเสถียรภาพอุปทานจากภูมิภาคอื่น ๆของโลก นอกจากนี้ยังเป็นเกี่ยวกับการตกลงแบ่งปันเสบียงในยามวิกฤติ ตั้งแต่ระดับการพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศที่แตกต่างกันจะแตกต่างกันมากบาง 80 % ของพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล - อียูใช้น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ทั้งหมดของพวกเขา แหล่งสำคัญของ CO2 ( ซีโอทู ) มลพิษ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ ' เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดควรต้องปฏิบัติภายในทศวรรษถัดไปหรือเพื่อให้ อย่างไรก็ตาม เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์เป็นทรัพยากรที่จำกัด ซึ่งจะได้รับอย่างมากพร่องโดยกลางศตวรรษนี้ การลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จึงมีส่วนช่วยในการปรับปรุงความมั่นคงด้านพลังงานของสหภาพยุโรป ตลอดจนช่วยในการ จำกัด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนอกจากนี้ สหภาพยุโรปเองเชื้อเพลิงฟอสซิลทรัพยากรมีถูกหมดเร็วกว่าของโลกทั้งหมด มันเป็นมากขึ้นพึ่งพาการนำเข้า ดังนั้นมากขึ้นความเสี่ยงที่จะจัดหาและแรงกระแทกราคา การพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันอาจเพิ่มขึ้นเป็น 95 และแก๊สที่นำเข้าถึง 84 % โดย 2030 , ถ้าไม่ตรวจสอบพลังงานและเชื้อเพลิงผสมเปลี่ยนไป ปัจจุบันสหภาพยุโรปได้ประมาณ 50% ของแก๊สมันกัดกินจากสามแหล่ง - รัสเซีย นอร์เวย์ และ แอลจีเรีย - และนำเข้าประมาณสองในสามของความต้องการน้ำมันจากองค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ( โอเปก ) และรัสเซีย ระดับโดยรวมของสหภาพยุโรปในการพึ่งพาพลังงานนำเข้าเป็น 53.8 % ในปี 2006กระจายเข้าไปในบ้านปลูกพลังงานจะต้องมีการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำหรือศูนย์ตามแหล่งพลังงานหมุนเวียนเช่นลม แสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และชีวมวล เนื่องจากอียูขาดแคลนเชื้อเพลิงฟอสซิลทรัพยากรของตัวเอง ในที่สุดเราก็มีโอกาสที่จะมีไฮโดรเจนในการผสมได้เป็นอย่างดี บางประเทศในสหภาพยุโรปจะยังใช้พลังนิวเคลียร์เป็นส่วนหนึ่งของการผสมผสานของพลังงาน สำหรับอนาคตอันใกล้นี้จะได้มาจากปฏิกิริยาฟิชชันนิวเคลียร์ฟิวชั่นเทคโนโลยีเนื่องจากไม่ได้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นใช้ได้ก่อนครึ่งหลังของศตวรรษนี้