3. Theoretical BackgroundThis resea

3. Theoretical Background
This research is based on the theoretical framework introduced by Likert (1969) whereby Likert had identified
that there are two different styles of leadership namely leadership which is oriented towards tasks and leadership
which is oriented towards the relationship with employees. Leaders who practised the taskes oriented leadership
style are those who are being autocratic and depends on their power and position to influence their
sub-ordinates.This type of leaders are usually very strict and always make sure that the employees follow the
rules and regulations set in order to perform well in their tasks. Fleishman (1973) believed that the
Tasks-oriented leadership style can determine clearly of the tasks one has to handle. This was further emphasised
by Jami Salih (2003) where a leader of this type works best based on giving his sub-ordinates the schedule for
tasks and trying out new ideas.
Meanwhile, leaders who are employee oriented would be regarded as leaders who are democratic who always
give space and chance for his employees to be involved in any process of decision-making. According to Hersey
and Blanchard (1982), leadership style of a leader can indirectly influence the behaviours of others. Hence, a
leader should be aware of the leadership style he is implementing because he will always be observed by his
sub-ordinates.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

3. ทฤษฎีเบื้องหลังงานวิจัยนี้เป็นไปตามกรอบทฤษฎีที่นำมาใช้ โดย Likert (1969) โดยมีระบุ Likertที่มีลักษณะแตกต่างกันสองของผู้นำได้แก่ผู้นำที่มุ่งเน้นงานและภาวะผู้นำซึ่งเป็นแนวทางความสัมพันธ์กับพนักงาน ผู้นำที่ปฏิบัติ taskes ที่เน้นความเป็นผู้นำลักษณะคือผู้ที่กำลังถูกวิจารณ์ และขึ้นอยู่กับอำนาจและตำแหน่งของพวกเขามีอิทธิพลต่อ การจรรยาบรรณย่อยผู้นำชนิดนี้มักเข้มงวดมาก และเสมอให้แน่ใจว่า พนักงานตามกฎและข้อบังคับที่กำหนดดำเนินการในงาน Fleishman (1973) เชื่อว่าการลักษณะความเป็นผู้นำที่มุ่งเน้นภารกิจสามารถกำหนดชัดเจนของงานมีการจัดการ นี้ได้เพิ่มเติม emphasisedโดย Jami ซอและฮ์ (2003) ที่เป็นผู้นำชนิดนี้ทำงานตามส่วนให้จรรยาบรรณเขาย่อยกำหนดการสำหรับงานและพยายามหาความคิดใหม่ในขณะเดียวกัน ผู้นำที่มุ่งเน้นพนักงานจะถือว่าเป็นผู้นำที่เป็นประชาธิปไตยที่เสมอให้พื้นที่และโอกาสสำหรับพนักงานของเขามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจใด ๆ ตาม Herseyและ Blanchard (1982), ลักษณะผู้นำของผู้นำทางอ้อมสามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้อื่น ดังนั้น การผู้นำควรตระหนักถึงลักษณะความเป็นผู้นำเขาไม่ใช้ เพราะเขาจะเสมอจะสังเกต โดยเขาจรรยาบรรณย่อย

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

3. ความเป็นมาทฤษฎี
การวิจัยครั้งนี้จะขึ้นอยู่กับกรอบทฤษฎีการแนะนำให้รู้จัก Likert (1969) โดย Likert ได้ระบุ
ว่ามีสองรูปแบบที่แตกต่างกันของการเป็นผู้นำคือการเป็นผู้นำซึ่งจะเน้นไปที่งานและความเป็นผู้นำ
ซึ่งจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์กับพนักงาน ในกลุ่มที่มีประสบการณ์การเป็นผู้นำที่มุ่งเน้น taskes
สไตล์เป็นผู้ที่มีความเป็นเผด็จการและขึ้นอยู่กับอำนาจและตำแหน่งของพวกเขาจะมีอิทธิพลต่อพวกเขา
ชนิดย่อย ordinates.This ของผู้นำมักจะเข้มงวดมากและมักจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานปฏิบัติตาม
กฎระเบียบและข้อบังคับที่ตั้งอยู่ใน สั่งซื้อที่จะทำงานได้ดีในงานของพวกเขา Fleishman (1973) เชื่อว่า
ลักษณะการเป็นผู้นำที่มุ่งเน้นงานสามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจนของงานที่มีการจัดการ นี้ได้รับการเน้นย้ำต่อไป
โดย Jami ลีห์ (2003) โดยที่ผู้นำประเภทนี้ทำงานตามที่ดีที่สุดในการให้พิกัดย่อยของเขาตารางเวลาสำหรับ
งานและพยายามออกความคิดใหม่.
ในขณะที่ผู้นำที่เป็นพนักงานที่มุ่งเน้นจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่มีความเป็นประชาธิปไตย ที่มักจะ
ให้พื้นที่และโอกาสให้กับพนักงานของเขาจะมีส่วนร่วมในกระบวนการของการตัดสินใจใด ๆ ตาม Hersey
และ Blanchard (1982), รูปแบบการเป็นผู้นำของผู้นำทางอ้อมสามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้อื่น ดังนั้น
ผู้นำควรจะตระหนักถึงลักษณะการเป็นผู้นำที่เขาจะดำเนินการเพราะเขามักจะได้รับการตรวจสอบโดยเขา
ย่อยพิกัด

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

3 . พื้นหลังทางทฤษฎี
การวิจัยตามกรอบทฤษฎีแนะนำด้วยคน ( 1969 ) โดยที่คนได้ระบุ
ซึ่งมีอยู่สองลักษณะที่แตกต่างกันของผู้นำคือผู้นำที่มุ่งเน้นไปยังงานและภาวะผู้นำ
ซึ่งเป็นเชิงต่อความสัมพันธ์กับพนักงาน ผู้นำที่ใช้ taskes มุ่งเน้นความเป็นผู้นำ