สมัยรัชกาลที่ 3 ตราปราสาทเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 3 ผลิตเมื่อพร การแปล - สมัยรัชกาลที่ 3 ตราปราสาทเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 3 ผลิตเมื่อพร ไทย วิธีการพูด

สมัยรัชกาลที่ 3 ตราปราสาทเป็นตราประ





สมัยรัชกาลที่ 3
ตราปราสาทเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 3 ผลิตเมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติในปี พ.ศ. 2367 นอกจากนี้ยังมีการผลิตเงินพดด้วงเป็นที่ระลึกในโอกาสสำคัญๆ ประทับตราต่างๆ เช่น ดอกไม้ ครุฑเสี้ยว ใบมะตูม และเฉลว เป็นต้น
ส่วนการจัดทำเงินเหรียญขึ้นใช้ตามแบบสากลนิยมนั้น มีแนวคิดมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยโปรดเกล้าฯ สั่งจัดทำตัวอย่างเหรียญทองแดงส่งเข้ามา แต่ยังไม่โปรดเกล้าฯ ให้นำออกใช้











สมัยรัชกาลที่ 4
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศก็ได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พ่อค้าชาวต่างประเทศเข้ามาค้าขายมากขึ้นและได้นำเงินเหรียญของตนมาแลกกับเงินพดด้วงจากรัฐบาลไทยเพื่อนำไปซื้อสินค้าจากราษฎร แต่ด้วยเหตุที่เงินพดด้วงผลิตด้วยมือจึงทำให้มีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกและการค้าของประเทศเสียประโยชน์ พระองค์จึงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนรูปเงินตราของไทยจากเงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญ
ในปี พ.ศ. 2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศอังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ได้จัดส่งเครื่องทำเหรียญเงินขนาดเล็กเข้ามาถวาย เป็นราชบรรณาการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าให้จัดทำเหรียญกษาปณ์จากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกกันว่า "เหรียญเงินบรรณาการ"
ในขณะเดียวกันคณะทูตก็ได้สั่งซื้อเครื่องจักรทำเงินจากบริษัท เทเลอร์ เข้ามาในปลายปี 2401 พระองค์จึงโปรดเกล้าให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติ ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานนามว่า "โรงกระสาปณ์สิทธิการ" ในสมัยนี้จึงถือว่ามีการใช้เหรียญกษาปณ์แบบสากลนิยมขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมาแม้ได้ประกาศให้ใช้เงินตราแบบเหรียญแล้วก็ยังโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เงินพดด้วงอยู่เพียงแต่ไม่มีการผลิตเพิ่มเติม จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่มีการนำธนบัตรออกใช้แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ออกประกาศให้เลิกใช้เงินพดด้วงทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2447 เป็นต้นมา


สมัยรัชกาลที่ 5
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่สำคัญ พระองค์มีพระราชดำริว่า มาตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คือ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง เป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณ และการจัดทำบัญชี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงใหม่ โดยใช้หน่วยเป็นบาท และสตางค์ คือ 100 สตางค์ เป็น 1 บาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2441 อันเป็นมาตราเงินตราไทยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระบรมรูปของพระองค์ประทับลงบนเหรียญ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการนำพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ไทยประทับลงบนเหรียญกษาปณ์









สมัยรัชกาลที่ 6
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระ
ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้แต่ไม่มี การเปลี่ยนแปลงรูปแบบมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเหรียญกษาปณ์ที่มีราคาไม่สูงนัก คือ 1 บาท, 50 สตางค์, 25 สตางค์, 10 สตางค์, 5 สตางค์, และ 1 สตางค์
ในช่วงต้นรัชกาลยังคงใช้เหรียญที่ผลิตในรัชกาลที่ 5 ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 จึงโปรดเกล้าฯให้ผลิตเหรียญเงินหนึ่งบาทประจำรัชกาล เป็นเหรียญตราพระบรมรูป-ไอราพต








สมัยรัชกาลที่ 7
ในรัชกาลนี้มีการผลิตเหรียญหมุนเวียนออกใช้ไม่มากนัก เนื่องจากอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เหรียญประจำรัชกาลที่นำออกใช้เป็นเหรียญชนิดราคา 50 และ 25 สตางค์ ตราพระบรมรูป-ช้างทรงเครื่อง










สมัยรัชกาลที่ 8
เหรียญประจำรัชกาลที่ผลิตออกใช้หมุนเวียน เป็นเหรียญตราพระบรมรูป-พระครุฑพ่าห์ ชนิดราคา 50, 25, 10 และ 5 สตางค์ มี 2 รุ่น คือ รุ่นแรกมีพระบรมรูปเมื่อครั้นเจริญพระชนมพรรษา













สมัยรัชกาลที่ 9
เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ใช้ในรัชกาลปัจจุบัน มี 8 ชนิดราคา คือ 1 สตางค์ 5 สตางค์ 10 สตางค์ 25 สตางค์ 50 สตางค์ 1 บาท 5 บาท และ 10 บาท
นอกจากนี้ยังมีการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญ อันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหน่วยงานต่าง ๆ โดยผลิตทั้งเหรียญประเภทธรรมดาและเหรียญประเภทขัดเงา
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
สมัยรัชกาลที่ 3 ตราปราสาทเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 3 ผลิตเมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติในปีพ.ศ. 2367 นอกจากนี้ยังมีการผลิตเงินพดด้วงเป็นที่ระลึกในโอกาสสำคัญ ๆ ประทับตราต่าง ๆ เช่นดอกไม้ครุฑเสี้ยวใบมะตูมและเฉลวเป็นต้น ส่วนการจัดทำเงินเหรียญขึ้นใช้ตามแบบสากลนิยมนั้นมีแนวคิดมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยโปรดเกล้าฯ สั่งจัดทำตัวอย่างเหรียญทองแดงส่งเข้ามาแต่ยังไม่โปรดเกล้าฯ ให้นำออกใช้ สมัยรัชกาลที่ 4 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศก็ได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วพ่อค้าชาวต่างประเทศเข้ามาค้าขายมากขึ้นและได้นำเงินเหรียญของตนมาแลกกับเงินพดด้วงจากรัฐบาลไทยเพื่อนำไปซื้อสินค้าจากราษฎรแต่ด้วยเหตุที่เงินพดด้วงผลิตด้วยมือจึงทำให้มีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกและการค้าของประเทศเสียประโยชน์พระองค์จึงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนรูปเงินตราของไทยจากเงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญ ในปีพ.ศ. 2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศอังกฤษสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียได้จัดส่งเครื่องทำเหรียญเงินขนาดเล็กเข้ามาถวายเป็นราชบรรณาการพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าให้จัดทำเหรียญกษาปณ์จากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรกเรียกกันว่า "เหรียญเงินบรรณาการ"ในขณะเดียวกันคณะทูตก็ได้สั่งซื้อเครื่องจักรทำเงินจากบริษัทเทเลอร์เข้ามาในปลายปี 2401 พระองค์จึงโปรดเกล้าให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติในพระบรมมหาราชวังพระราชทานนามว่า "โรงกระสาปณ์สิทธิการ" ในสมัยนี้จึงถือว่ามีการใช้เหรียญกษาปณ์แบบสากลนิยมขึ้นเป็นครั้งแรกต่อมาแม้ได้ประกาศให้ใช้เงินตราแบบเหรียญแล้วก็ยังโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เงินพดด้วงอยู่เพียงแต่ไม่มีการผลิตเพิ่มเติมจนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหลังจากที่มีการนำธนบัตรออกใช้แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติออกประกาศให้เลิกใช้เงินพดด้วงทุกชนิดตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2447 เป็นต้นมา สมัยรัชกาลที่ 5 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่สำคัญพระองค์มีพระราชดำริว่ามาตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้นคือชั่งตำลึงบาทสลึงเฟื้องเป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณและการจัดทำบัญชีจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงใหม่โดยใช้หน่วยเป็นบาทและสตางค์คือ 100 สตางค์เป็น 1 บาทตั้งแต่พ.ศ. 2441 อันเป็นมาตราเงินตราไทยมาจนถึงปัจจุบันนอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระบรมรูปของพระองค์ประทับลงบนเหรียญซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการนำพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ไทยประทับลงบนเหรียญกษาปณ์ สมัยรัชกาลที่ 6 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมากนักส่วนใหญ่เป็นเหรียญกษาปณ์ที่มีราคาไม่สูงนักคือ 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ ในช่วงต้นรัชกาลยังคงใช้เหรียญที่ผลิตในรัชกาลที่ 5 ต่อมาในปีพ.ศ. 2456 จึงโปรดเกล้าฯให้ผลิตเหรียญเงินหนึ่งบาทประจำรัชกาลเป็นเหรียญตราพระบรมรูป-ไอราพต สมัยรัชกาลที่ 7 ในรัชกาลนี้มีการผลิตเหรียญหมุนเวียนออกใช้ไม่มากนักเนื่องจากอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเหรียญประจำรัชกาลที่นำออกใช้เป็นเหรียญชนิดราคา 50 และ 25 สตางค์ตราพระบรมรูป-ช้างทรงเครื่อง สมัยรัชกาลที่ 8 เหรียญประจำรัชกาลที่ผลิตออกใช้หมุนเวียนเป็นเหรียญตราพระบรมรูปพระครุฑพ่าห์ชนิดราคา 50, 25, 10 และ 5 สตางค์มี 2 รุ่นคือรุ่นแรกมีพระบรมรูปเมื่อครั้นเจริญพระชนมพรรษา สมัยรัชกาลที่ 9 เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ใช้ในรัชกาลปัจจุบันมี 8 ชนิดราคาคือ 1 สตางค์ 5 สตางค์ 10 สตางค์ 25 สตางค์ 50 สตางค์ 1 บาท 5 บาทและ 10 บาท นอกจากนี้ยังมีการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์และหน่วยงานต่างๆ โดยผลิตทั้งเหรียญประเภทธรรมดาและเหรียญประเภทขัดเงา
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!




สมัยรัชกาลที่
3 พ.ศ. 2367 ประทับตราต่างๆเช่นดอกไม้ครุฑเสี้ยวใบมะตูมและเฉลว
มีแนวคิดมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยโปรดเกล้าฯ แต่ยังไม่โปรดเกล้าฯให้นำออกใช้สมัยรัชกาลที่ พ.ศ. 2400 โปรดเกล้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย เป็นราชบรรณาการ เรียกกันว่า เทเลอร์เข้ามาในปลายปี 2401 ในพระบรมมหาราชวังพระราชทานนามว่า "โรงกระสาปณ์สิทธิการ" หลังจากที่มีการนำธนบัตรออกใช้แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2447 เป็นต้นมาสมัยรัชกาลที่ พระองค์มีพระราชดำริว่ามาตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้นคือชั่งตำลึงบาทสลึงเฟื้องเป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณและการจัดทำบัญชีจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ปรับปรุงใหม่โดยใช้หน่วยเป็นบาทและสตางค์คือ 100 สตางค์เป็น 1 บาทตั้งแต่ พ.ศ. 2441 คือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การเปลี่ยนแปลงรูปแบบมากนัก คือ 1 บาท 50 สตางค์, 25 สตางค์, 10 สตางค์, 5 สตางค์, และ 1 5 ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 เนื่องจากอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ 50 และ 25 สตางค์ ชนิดราคา 50, 25, 10 และ 5 สตางค์มี 2 รุ่นคือ มี 8 ชนิดราคาคือ 1 สตางค์ 5 สตางค์ 10 สตางค์ 25 สตางค์ 50 สตางค์ 1 บาท 5 บาทและ 10 เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์และหน่วยงานต่าง ๆ






































































การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!




สมัยรัชกาลที่ 3
ตราปราสาทเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 3 ผลิตเมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติในปีพ . ศ .2367 นอกจากนี้ยังมีการผลิตเงินพดด้วงเป็นที่ระลึกในโอกาสสำคัญๆประทับตราต่างๆเช่นดอกไม้ครุฑเสี้ยวใบมะตูมและเฉลวเป็นต้น
ส่วนการจัดทำเงินเหรียญขึ้นใช้ตามแบบสากลนิยมนั้นมีแนวคิดมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยโปรดเกล้าฯสั่งจัดทำตัวอย่างเหรียญทองแดงส่งเข้ามาแต่ยังไม่โปรดเกล้าฯให้นำออกใช้











สมัยรัชกาลที่
4ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศก็ได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ด้วยเหตุที่เงินพดด้วงผลิตด้วยมือจึงทำให้มีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกและการค้าของประเทศเสียประโยชน์สามารถพ . ศ .2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้คณะทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศอังกฤษสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียได้จัดส่งเครื่องทำเหรียญเงินขนาดเล็กเข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าให้จัดทำเหรียญกษาปณ์จากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรกเรียกกันว่า " เหรียญเงินบรรณาการ "
ในขณะเดียวกันคณะทูตก็ได้สั่งซื้อเครื่องจักรทำเงินจากบริษัทเทเลอร์เข้ามาในปลายปี 2401 พระองค์จึงโปรดเกล้าให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติในพระบรมมหาราชวังพระราชทานนามว่าในสมัยนี้จึงถือว่ามีการใช้เหรียญกษาปณ์แบบสากลนิยมขึ้นเป็นครั้งแรกต่อมาแม้ได้ประกาศให้ใช้เงินตราแบบเหรียญแล้วก็ยังโปรดเกล้าฯให้ใช้เงินพดด้วงอยู่เพียงแต่ไม่มีการผลิตเพิ่มเติมหลังจากที่มีการนำธนบัตรออกใช้แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติออกประกาศให้เลิกใช้เงินพดด้วงทุกชนิด more money than 28 ตุลาคม 2447 เป็นต้นมา



สมัยรัชกาลที่ 5ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่สำคัญพระองค์มีพระราชดำริว่ามาตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้นความชั่งตำลึงบาทสลึงเฟื้องเป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ปรับปรุงใหม่โดยใช้หน่วยเป็นบาทและสตางค์ความ 100 สตางค์เป็น 1 บาทตั้งแต่พ .ศ .2441 อันเป็นมาตราเงินตราไทยมาจนถึงปัจจุบันนอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งความทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำพระบรมรูปของพระองค์ประทับลงบนเหรียญ











ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระสมัยรัชกาลที่ 6ปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมากนักส่วนใหญ่เป็นเหรียญกษาปณ์ที่มีราคาไม่สูงนักความ 1 บาท 50 สตางค์สตางค์สตางค์ , 25 , 10 ,5 สตางค์และ 1 , สตางค์
ในช่วงต้นรัชกาลยังคงใช้เหรียญที่ผลิตในรัชกาลที่ 5 ต่อมาในปีพ . ศ . 2456 จึงโปรดเกล้าฯให้ผลิตเหรียญเงินหนึ่งบาทประจำรัชกาลเป็นเหรียญตราพระบรมรูป - ไอราพต









7 สมัยรัชกาลที่ในรัชกาลนี้มีการผลิตเหรียญหมุนเวียนออกใช้ไม่มากนักเนื่องจากอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเหรียญประจำรัชกาลที่นำออกใช้เป็นเหรียญชนิดราคา 50 และ 25 สตางค์ตราพระบรมรูป - ช้างทรงเครื่อง











สมัยรัชกาลที่ 8เหรียญประจำรัชกาลที่ผลิตออกใช้หมุนเวียนเป็นเหรียญตราพระบรมรูป - พระครุฑพ่าห์ชนิดราคา 50 , 25 , 10 และ 5 สตางค์คอนโด 2 รุ่นความรุ่นแรกมีพระบรมรูปเมื่อครั้นเจริญพระชนมพรรษา














สมัยรัชกาลที่ 9เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ใช้ในรัชกาลปัจจุบันคอนโด 8 ชนิดราคาความสตางค์สตางค์ 1 5 10 25 50 สตางค์สตางค์สตางค์ 1 บาท 5 บาทและ 10 บาท
นอกจากนี้ยังมีการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์และหน่วยงานต่างจะโดยผลิตทั้งเหรียญประเภทธรรมดาและเหรียญประเภทขัดเงา
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2025 I Love Translation. All reserved.

E-mail: