สมัยรัชกาลที่ 3
ตราปราสาทเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 3 ผลิตเมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติในปี พ.ศ. 2367 นอกจากนี้ยังมีการผลิตเงินพดด้วงเป็นที่ระลึกในโอกาสสำคัญๆ ประทับตราต่างๆ เช่น ดอกไม้ ครุฑเสี้ยว ใบมะตูม และเฉลว เป็นต้น
ส่วนการจัดทำเงินเหรียญขึ้นใช้ตามแบบสากลนิยมนั้น มีแนวคิดมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยโปรดเกล้าฯ สั่งจัดทำตัวอย่างเหรียญทองแดงส่งเข้ามา แต่ยังไม่โปรดเกล้าฯ ให้นำออกใช้
สมัยรัชกาลที่ 4
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศก็ได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พ่อค้าชาวต่างประเทศเข้ามาค้าขายมากขึ้นและได้นำเงินเหรียญของตนมาแลกกับเงินพดด้วงจากรัฐบาลไทยเพื่อนำไปซื้อสินค้าจากราษฎร แต่ด้วยเหตุที่เงินพดด้วงผลิตด้วยมือจึงทำให้มีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกและการค้าของประเทศเสียประโยชน์ พระองค์จึงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนรูปเงินตราของไทยจากเงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญ
ในปี พ.ศ. 2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศอังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ได้จัดส่งเครื่องทำเหรียญเงินขนาดเล็กเข้ามาถวาย เป็นราชบรรณาการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าให้จัดทำเหรียญกษาปณ์จากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกกันว่า "เหรียญเงินบรรณาการ"
ในขณะเดียวกันคณะทูตก็ได้สั่งซื้อเครื่องจักรทำเงินจากบริษัท เทเลอร์ เข้ามาในปลายปี 2401 พระองค์จึงโปรดเกล้าให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติ ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานนามว่า "โรงกระสาปณ์สิทธิการ" ในสมัยนี้จึงถือว่ามีการใช้เหรียญกษาปณ์แบบสากลนิยมขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมาแม้ได้ประกาศให้ใช้เงินตราแบบเหรียญแล้วก็ยังโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เงินพดด้วงอยู่เพียงแต่ไม่มีการผลิตเพิ่มเติม จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่มีการนำธนบัตรออกใช้แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ออกประกาศให้เลิกใช้เงินพดด้วงทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2447 เป็นต้นมา
สมัยรัชกาลที่ 5
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่สำคัญ พระองค์มีพระราชดำริว่า มาตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คือ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง เป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณ และการจัดทำบัญชี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงใหม่ โดยใช้หน่วยเป็นบาท และสตางค์ คือ 100 สตางค์ เป็น 1 บาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2441 อันเป็นมาตราเงินตราไทยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระบรมรูปของพระองค์ประทับลงบนเหรียญ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการนำพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ไทยประทับลงบนเหรียญกษาปณ์
สมัยรัชกาลที่ 6
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระ
ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้แต่ไม่มี การเปลี่ยนแปลงรูปแบบมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเหรียญกษาปณ์ที่มีราคาไม่สูงนัก คือ 1 บาท, 50 สตางค์, 25 สตางค์, 10 สตางค์, 5 สตางค์, และ 1 สตางค์
ในช่วงต้นรัชกาลยังคงใช้เหรียญที่ผลิตในรัชกาลที่ 5 ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 จึงโปรดเกล้าฯให้ผลิตเหรียญเงินหนึ่งบาทประจำรัชกาล เป็นเหรียญตราพระบรมรูป-ไอราพต
สมัยรัชกาลที่ 7
ในรัชกาลนี้มีการผลิตเหรียญหมุนเวียนออกใช้ไม่มากนัก เนื่องจากอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เหรียญประจำรัชกาลที่นำออกใช้เป็นเหรียญชนิดราคา 50 และ 25 สตางค์ ตราพระบรมรูป-ช้างทรงเครื่อง
สมัยรัชกาลที่ 8
เหรียญประจำรัชกาลที่ผลิตออกใช้หมุนเวียน เป็นเหรียญตราพระบรมรูป-พระครุฑพ่าห์ ชนิดราคา 50, 25, 10 และ 5 สตางค์ มี 2 รุ่น คือ รุ่นแรกมีพระบรมรูปเมื่อครั้นเจริญพระชนมพรรษา
สมัยรัชกาลที่ 9
เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ใช้ในรัชกาลปัจจุบัน มี 8 ชนิดราคา คือ 1 สตางค์ 5 สตางค์ 10 สตางค์ 25 สตางค์ 50 สตางค์ 1 บาท 5 บาท และ 10 บาท
นอกจากนี้ยังมีการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญ อันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหน่วยงานต่าง ๆ โดยผลิตทั้งเหรียญประเภทธรรมดาและเหรียญประเภทขัดเงา
สมัยรัชกาลที่
3 พ.ศ. 2367 ประทับตราต่างๆเช่นดอกไม้ครุฑเสี้ยวใบมะตูมและเฉลว
มีแนวคิดมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยโปรดเกล้าฯ แต่ยังไม่โปรดเกล้าฯให้นำออกใช้สมัยรัชกาลที่ พ.ศ. 2400 โปรดเกล้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย เป็นราชบรรณาการ เรียกกันว่า เทเลอร์เข้ามาในปลายปี 2401 ในพระบรมมหาราชวังพระราชทานนามว่า "โรงกระสาปณ์สิทธิการ" หลังจากที่มีการนำธนบัตรออกใช้แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2447 เป็นต้นมาสมัยรัชกาลที่ พระองค์มีพระราชดำริว่ามาตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้นคือชั่งตำลึงบาทสลึงเฟื้องเป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณและการจัดทำบัญชีจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ปรับปรุงใหม่โดยใช้หน่วยเป็นบาทและสตางค์คือ 100 สตางค์เป็น 1 บาทตั้งแต่ พ.ศ. 2441 คือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การเปลี่ยนแปลงรูปแบบมากนัก คือ 1 บาท 50 สตางค์, 25 สตางค์, 10 สตางค์, 5 สตางค์, และ 1 5 ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 เนื่องจากอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ 50 และ 25 สตางค์ ชนิดราคา 50, 25, 10 และ 5 สตางค์มี 2 รุ่นคือ มี 8 ชนิดราคาคือ 1 สตางค์ 5 สตางค์ 10 สตางค์ 25 สตางค์ 50 สตางค์ 1 บาท 5 บาทและ 10 เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์และหน่วยงานต่าง ๆ
การแปล กรุณารอสักครู่..

สมัยรัชกาลที่ 3
ตราปราสาทเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 3 ผลิตเมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติในปีพ . ศ .2367 นอกจากนี้ยังมีการผลิตเงินพดด้วงเป็นที่ระลึกในโอกาสสำคัญๆประทับตราต่างๆเช่นดอกไม้ครุฑเสี้ยวใบมะตูมและเฉลวเป็นต้น
ส่วนการจัดทำเงินเหรียญขึ้นใช้ตามแบบสากลนิยมนั้นมีแนวคิดมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยโปรดเกล้าฯสั่งจัดทำตัวอย่างเหรียญทองแดงส่งเข้ามาแต่ยังไม่โปรดเกล้าฯให้นำออกใช้
สมัยรัชกาลที่
4ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศก็ได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ด้วยเหตุที่เงินพดด้วงผลิตด้วยมือจึงทำให้มีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกและการค้าของประเทศเสียประโยชน์สามารถพ . ศ .2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้คณะทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศอังกฤษสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียได้จัดส่งเครื่องทำเหรียญเงินขนาดเล็กเข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าให้จัดทำเหรียญกษาปณ์จากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรกเรียกกันว่า " เหรียญเงินบรรณาการ "
ในขณะเดียวกันคณะทูตก็ได้สั่งซื้อเครื่องจักรทำเงินจากบริษัทเทเลอร์เข้ามาในปลายปี 2401 พระองค์จึงโปรดเกล้าให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติในพระบรมมหาราชวังพระราชทานนามว่าในสมัยนี้จึงถือว่ามีการใช้เหรียญกษาปณ์แบบสากลนิยมขึ้นเป็นครั้งแรกต่อมาแม้ได้ประกาศให้ใช้เงินตราแบบเหรียญแล้วก็ยังโปรดเกล้าฯให้ใช้เงินพดด้วงอยู่เพียงแต่ไม่มีการผลิตเพิ่มเติมหลังจากที่มีการนำธนบัตรออกใช้แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติออกประกาศให้เลิกใช้เงินพดด้วงทุกชนิด more money than 28 ตุลาคม 2447 เป็นต้นมา
สมัยรัชกาลที่ 5ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่สำคัญพระองค์มีพระราชดำริว่ามาตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้นความชั่งตำลึงบาทสลึงเฟื้องเป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ปรับปรุงใหม่โดยใช้หน่วยเป็นบาทและสตางค์ความ 100 สตางค์เป็น 1 บาทตั้งแต่พ .ศ .2441 อันเป็นมาตราเงินตราไทยมาจนถึงปัจจุบันนอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งความทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำพระบรมรูปของพระองค์ประทับลงบนเหรียญ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระสมัยรัชกาลที่ 6ปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมากนักส่วนใหญ่เป็นเหรียญกษาปณ์ที่มีราคาไม่สูงนักความ 1 บาท 50 สตางค์สตางค์สตางค์ , 25 , 10 ,5 สตางค์และ 1 , สตางค์
ในช่วงต้นรัชกาลยังคงใช้เหรียญที่ผลิตในรัชกาลที่ 5 ต่อมาในปีพ . ศ . 2456 จึงโปรดเกล้าฯให้ผลิตเหรียญเงินหนึ่งบาทประจำรัชกาลเป็นเหรียญตราพระบรมรูป - ไอราพต
7 สมัยรัชกาลที่ในรัชกาลนี้มีการผลิตเหรียญหมุนเวียนออกใช้ไม่มากนักเนื่องจากอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเหรียญประจำรัชกาลที่นำออกใช้เป็นเหรียญชนิดราคา 50 และ 25 สตางค์ตราพระบรมรูป - ช้างทรงเครื่อง
สมัยรัชกาลที่ 8เหรียญประจำรัชกาลที่ผลิตออกใช้หมุนเวียนเป็นเหรียญตราพระบรมรูป - พระครุฑพ่าห์ชนิดราคา 50 , 25 , 10 และ 5 สตางค์คอนโด 2 รุ่นความรุ่นแรกมีพระบรมรูปเมื่อครั้นเจริญพระชนมพรรษา
สมัยรัชกาลที่ 9เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ใช้ในรัชกาลปัจจุบันคอนโด 8 ชนิดราคาความสตางค์สตางค์ 1 5 10 25 50 สตางค์สตางค์สตางค์ 1 บาท 5 บาทและ 10 บาท
นอกจากนี้ยังมีการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์และหน่วยงานต่างจะโดยผลิตทั้งเหรียญประเภทธรรมดาและเหรียญประเภทขัดเงา
การแปล กรุณารอสักครู่..
