อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี(rate of chemical reaction)อัตราการเกิดปฏิกิร การแปล - อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี(rate of chemical reaction)อัตราการเกิดปฏิกิร ไทย วิธีการพูด

อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี(rate of c

อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
(rate of chemical reaction)
อัตราการเกิดปฏิกิริยา (reaction rate, r) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารตั้งต้นหรือสารผลิตภัณฑ์เมื่อเวลาเปลี่ยนไป

ความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของสารตั้งต้นและสารผลิตภัณฑ์กับเวลา
ในขณะที่เกิดปฏิกิริยาโมเลกุลของสารตั้งต้นก็จะเปลี่ยนเป็นสารผลิตภัณฑ์ ทำให้ความเข้มข้นของสารตั้งต้นลดลง ส่วนความเข้มข้นของสารผลิตภัณฑ์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราจึงสามารถติดตามการดำเนินไปของปฏิกิริยาได้จาก
• การวัดความเข้มข้นที่ลดลงของสารตั้งต้น
• การวัดความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นของสารผลิตภัณฑ์
หมายเหตุ ในการวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยามีสิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ
1. ต้องทำการผสมสาร (เขย่า) ด้วยความสม่ำเสมอ
2. เมื่อผสมสารเสร็จต้องรีบทำการวัดทันที
3. การผสมสารด้วยมือ จะหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเริ่มต้น (initial rate) จริงๆ ได้ ยากมากเพราะเมื่อผสมสารด้วยมือเสร็จแล้วทำการวัด ก็หมายความว่า เวลาได้ผ่านไปแล้วอย่างน้อย 3 วินาที
4. ต้องทำการทดลองที่ความเข้มข้นต่ำๆ ตั้งแต่ระดับมิลลิโมลาร์ (mM) ลงมา



พิจารณาปฏิกิริยา


ถ้าแทนความเข้มข้นของสารในปฏิกิริยา คือ [A], [B] และ [C] เราจะสามารถหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้จาก
อัตราการเกิดของสารผลิตภัณฑ์ C
อัตราการลดลงของสารตั้งต้น A หรือ B ตัวใดตัวหนึ่ง
( อัตราการลดลงใส่เครื่องหมายลบ )


ตัวอย่างที่ 1 การสลายตัวของ H2O2 ได้เป็น O2 และ H2O
อัตราการเกิดปฏิกิริยา คือ


จะได้ว่า


พิจารณาปฏิกิริยา

จะได้ว่า
อัตราการเกิดสารผลิตภัณฑ์ C = 3 x (อัตราการลดลงของสารตั้งต้น A)
อัตราการเกิดปฏิกิริยา คือ

ตัวอย่างที่ 2 จากปฏิกิริยาการสลายตัวของ NOBr พบว่า อัตราการเกิด NO มีค่าเท่ากับ 1.6 x 10-4 mol L-1 s-1 จงคำนวณอัตราการเกิดปฏิกิริยา และอัตราการลดลงของ NOBr ?


วิธีคิด
จากสมการเคมี จะได้ว่า

ดังนั้น อัตราการเกิดปฏิกิริยา หาได้จาก


อัตราการเกิดปฏิกิริยา มีค่าเท่ากับ 8.0 x 10-5 mol L-1 s-1
และเนื่องจาก อัตราการลดลงของ NOBr เป็น 2 เท่าของอัตราการเกิดปฏิกิริยา จึงได้ว่า




เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะต่าง ๆ ของปฏิกิริยา เช่น อุณหภูมิ หรือความเข้มข้น นักเรียนคิดว่า อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? จากการทดลองพบว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอัตราการเกิดปฏิกิริยามี 6 ปัจจัย ดังนี้
1. ธรรมชาติของสารทำปฏิกิริยา
2. ความเข้มข้นของสารทำปฏิกิริยา
3. ความดันของสารทำปฏิกิริยา
4. อุณหภูมิ
5. ตัวเร่งปฏิกิริยา
6. พื้นที่ผิว



สารแต่ละชนิดมีสมบัติในการทำปฏิกิริยาเร็ว - ช้าแตกต่างกัน เช่น
ธาตุไนโตรเจนเฉื่อยต่อปฏิกิริยามากจึงไม่ค่อยทำปฏิกิริยากับสารใด
โลหะโซเดียมทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับน้ำ เกิดประกายไฟและแก๊สไฮโดรเจน ในขณะที่โลหะแมกนีเซียมเกิดปฏิกิริยากับน้ำอย่างช้า ๆ ดังรูปแสดงการทดลองต่อไปนี้
ในบีกเกอร์ทั้งสองใบมีน้ำที่หยดสารละลายฟีนอล์ฟทาลีนเอาไว้แล้ว จะสังเกตได้ว่าน้ำยังคงไม่มีสี (เพราะเหตุใด) ทีนี้ลองใส่ก้อนโลหะโซเดียม (ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว) และแผ่นโลหะแมกนีเซียม (ขนาด 0.5 x 1.0 cm2) ลงไปซิ







ปฏิกิริยาของโลหะโซเดียม (Na) กับน้ำ ปฏิกิริยาของแผ่นโลหะแมกนีเซียม (Mg) กับน้ำ
(เมื่อมีฟีนอล์ฟทาลีนอยู่) (เมื่อมีฟีนอล์ฟทาลีนอยู่)

สมการการเกิดปฏิกิริยาเป็นดังนี้



ปฏิกิริยาในสองบีกเกอร์ต่างกันที่ใช้ Na หรือ Mg เท่านั้น แสดงว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับธรรมชาติของสารตั้งต้น



ปฏิกิริยาส่วนใหญ่เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาก็มักจะเพิ่มขึ้น มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องทราบก็คือ อัตราการเกิดปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นสัดส่วนกับความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นเสมอไป การที่จะระบุว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด ได้มาจากการทดลองเท่านั้น
กรณีที่ 1: การเพิ่มความเข้มข้นมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา
การเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นในปฏิกิริยาก็เท่ากับการเพิ่มอนุภาคของสารที่เข้าทำปฏิกิริยา เมื่อมีอนุภาคของสารมากขึ้น โอกาสที่จะชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย
ตัวอย่างปฏิกิริยา









ความดัน (pressure) ความเข้มข้นของแก๊สมักจะใช้การเปลี่ยนความดันเพื่อเปลี่ยนแปลงความเข้มข้น ในเมื่อการเปลี่ยนแปลงความดันเปรียบเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้น ดังนั้นความดันจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา
• ทำไมการเพิ่มความดันของแก๊สจึงเหมือนกับการเพิ่มความเข้มข้น
ให้พิจารณาสมการ
ลองเปลี่ยนรูปสมการนี้ใหม่
n คือจำนวนโมล และ V คือปริมาตร ดังนั้น n/V ก็คือความเข้มข้น และพบว่าในเทอม RT จะคงที่ตราบใดที่ T คงที่ เมื่อ n/V คือความเข้มข้น ดังนั้นความดัน (P) จึงเป็นแปรผันตรงกับความเข้มข้น (n/V) นั่นเอง (นักเรียนสามารถศึกษาเรื่องความดันเพิ่มเติมได้ในเรื่อง "แก๊ส")



การเพิ่มอุณหภูมิเป็นสภาวะที่สามารถเพิ่มการชนได้ เพราะเมื่อเพิ่มอุณหภูมิหรือให้ความร้อนแก่สารในปฏิกิริยา อนุภาคจะมีพลังงานจลน์เพิ่มขึ้น จะเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น ชนกันมากขึ้น โอกาสที่จะชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาก็จะมีมากขึ้น เมื่อเกิดปฏิกิริยามากขึ้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาก็เพิ่มขึ้นนั่นเอง
ปฏิกิริยาเคมีโดยทั่วไปเมื่อมีการเพิ่มอุณหภูมิจะส่งผลให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น แต่ในบางปฏิกิริยาอุณหภูมิก็ไม่มีส่วนที่จะทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น เช่น ปฏิกิริยาระหว่างไฮโดรเจนไอออนและไฮดรอกไซด์ไอออนในปฏิกิริยาสะเทิน(neutralization reaction) เป็นต้น
การอธิบายว่าอุณหภูมิเป็นปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา ต้องใช้ทฤษฎีการชน และกราฟการแจกแจงพลังงานของอนุภาคของแมกซ์เวล-โบลซ์มันน์ ดังนี้







การแจกแจงพลังงานของอนุภาคของแมกซ์เวล-โบลซ์มันน์
อนุภาคในพื้นที่ใต้กราฟทางด้านขวาของพลังงานก่อกัมมันต์เท่านั้นที่มีโอกาสชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาเพราะเป็นอนุภาคที่มีพลังงานสูง ส่วนอนุภาคในพื้นที่ใต้กราฟทางด้านซ้ายของพลังงานก่อกัมมันต์ซึ่งเป็นอนุภาคส่วนใหญ่จะมีโอกาสชนกันได้แต่ไม่มีพลังงานมากพอที่จะเกิดปฏิกิริยา ถ้าลองสร้างกราฟการแจกแจงพลังงานของอนุภาคเมื่อให้ความร้อนแก่สารในปฏิกิริยาเปรีย
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี(อัตราของปฏิกิริยาเคมี)อัตราการเกิดปฏิกิริยา (อัตราปฏิกิริยา r) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารตั้งต้นหรือสารผลิตภัณฑ์เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของสารตั้งต้นและสารผลิตภัณฑ์กับเวลา ในขณะที่เกิดปฏิกิริยาโมเลกุลของสารตั้งต้นก็จะเปลี่ยนเป็นสารผลิตภัณฑ์ทำให้ความเข้มข้นของสารตั้งต้นลดลงส่วนความเข้มข้นของสารผลิตภัณฑ์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เราจึงสามารถติดตามการดำเนินไปของปฏิกิริยาได้จาก•การวัดความเข้มข้นที่ลดลงของสารตั้งต้น•การวัดความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นของสารผลิตภัณฑ์หมายเหตุในการวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยามีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ 1. ต้องทำการผสมสาร (เขย่า) ด้วยความสม่ำเสมอ 2. เมื่อผสมสารเสร็จต้องรีบทำการวัดทันที 3. การผสมสารด้วยมือจะหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเริ่มต้น (เริ่มต้นอัตรา) จริง ๆ ได้ยากมากเพราะเมื่อผสมสารด้วยมือเสร็จแล้วทำการวัดก็หมายความว่าเวลาได้ผ่านไปแล้วอย่างน้อย 3 วินาที 4. ต้องทำการทดลองที่ความเข้มข้นต่ำ ๆ ตั้งแต่ระดับมิลลิโมลาร์ (mM) ลงมา พิจารณาปฏิกิริยา ถ้าแทนความเข้มข้นของสารในปฏิกิริยาคือ [A] [B] และ [C] เราจะสามารถหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้จาก อัตราการเกิดของสารผลิตภัณฑ์ C อัตราการลดลงของสารตั้งต้นบีหรือตัวใดตัวหนึ่ง(อัตราการลดลงใส่เครื่องหมายลบ) ตัวอย่างที่ 1 การสลายตัวของ H2O2 ได้เป็น O2 และ H2O อัตราการเกิดปฏิกิริยาคือ จะได้ว่า พิจารณาปฏิกิริยา จะได้ว่าอัตราการเกิดสารผลิตภัณฑ์ C = 3 x (อัตราการลดลงของสารตั้งต้น A)อัตราการเกิดปฏิกิริยาคือ อัตราการเกิดพบว่าตัวอย่างที่ 2 จากปฏิกิริยาการสลายตัวของ NOBr ไม่มีค่าเท่ากับ 1.6 x 10-4 โมล L-1 s-1 จงคำนวณอัตราการเกิดปฏิกิริยาและอัตราการลดลงของ NOBr วิธีคิดจากสมการเคมีจะได้ว่า ดังนั้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาหาได้จาก อัตราการเกิดปฏิกิริยามีค่าเท่ากับ 8.0 x 10-5 โมล L-1 s-1และเนื่องจากอัตราการลดลงของ NOBr เป็น 2 เท่าของอัตราการเกิดปฏิกิริยาจึงได้ว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะต่างๆ ของปฏิกิริยาเช่นอุณหภูมิหรือความเข้มข้นนักเรียนคิดว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ดังนี้จากการทดลองพบว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอัตราการเกิดปฏิกิริยามี 6 ปัจจัย 1. ธรรมชาติของสารทำปฏิกิริยา 2. ความเข้มข้นของสารทำปฏิกิริยา 3. ความดันของสารทำปฏิกิริยา 4. อุณหภูมิ 5. ตัวเร่งปฏิกิริยา 6. พื้นที่ผิว สารแต่ละชนิดมีสมบัติในการทำปฏิกิริยาเร็ว - ช้าแตกต่างกันเช่น ธาตุไนโตรเจนเฉื่อยต่อปฏิกิริยามากจึงไม่ค่อยทำปฏิกิริยากับสารใด โลหะโซเดียมทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับน้ำเกิดประกายไฟและแก๊สไฮโดรเจนในขณะที่โลหะแมกนีเซียมเกิดปฏิกิริยากับน้ำอย่างช้าๆ ดังรูปแสดงการทดลองต่อไปนี้ ในบีกเกอร์ทั้งสองใบมีน้ำที่หยดสารละลายฟีนอล์ฟทาลีนเอาไว้แล้วจะสังเกตได้ว่าน้ำยังคงไม่มีสี (เพราะเหตุใด) ทีนี้ลองใส่ก้อนโลหะโซเดียม (ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว) และแผ่นโลหะแมกนีเซียม (ขนาด 0.5 x 1.0 cm2) ลงไปซิกับน้ำปฏิกิริยาของแผ่นโลหะแมกนีเซียม (มิลลิกรัม) กับน้ำปฏิกิริยาของโลหะโซเดียม (นา) (เมื่อมีฟีนอล์ฟทาลีนอยู่) (เมื่อมีฟีนอล์ฟทาลีนอยู่)สมการการเกิดปฏิกิริยาเป็นดังนี้ ปฏิกิริยาในสองบีกเกอร์ต่างกันที่ใช้นาหรือ Mg เท่านั้นแสดงว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับธรรมชาติของสารตั้งต้น ปฏิกิริยาส่วนใหญ่เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาก็มักจะเพิ่มขึ้นมีส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องทราบก็คืออัตราการเกิดปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นสัดส่วนกับความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นเสมอไปการที่จะระบุว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงไปเท่าใดได้มาจากการทดลองเท่านั้นกรณีที่ 1: การเพิ่มความเข้มข้นมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา การเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นในปฏิกิริยาก็เท่ากับการเพิ่มอนุภาคของสารที่เข้าทำปฏิกิริยาเมื่อมีอนุภาคของสารมากขึ้นโอกาสที่จะชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วยตัวอย่างปฏิกิริยา ดังนั้นความดันจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาในเมื่อการเปลี่ยนแปลงความดันเปรียบเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นความเข้มข้นของแก๊สมักจะใช้การเปลี่ยนความดันเพื่อเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นความดัน (ความดัน)•ทำไมการเพิ่มความดันของแก๊สจึงเหมือนกับการเพิ่มความเข้มข้น ให้พิจารณาสมการ ลองเปลี่ยนรูปสมการนี้ใหม่ n คือจำนวนโมลและ V คือปริมาตรดังนั้น n/V ก็คือความเข้มข้นและพบว่าในเทอม RT จะคงที่ตราบใดที่ T คงที่เมื่อ n/V คือความเข้มข้นดังนั้นความดัน (P) จึงเป็นแปรผันตรงกับความเข้มข้น (n/V) นั่นเอง (นักเรียนสามารถศึกษาเรื่องความดันเพิ่มเติมได้ในเรื่อง "แก๊ส") การเพิ่มอุณหภูมิเป็นสภาวะที่สามารถเพิ่มการชนได้เพราะเมื่อเพิ่มอุณหภูมิหรือให้ความร้อนแก่สารในปฏิกิริยาอนุภาคจะมีพลังงานจลน์เพิ่มขึ้นจะเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นชนกันมากขึ้นโอกาสที่จะชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาก็จะมีมากขึ้นเมื่อเกิดปฏิกิริยามากขึ้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาก็เพิ่มขึ้นนั่นเอง เป็นต้นปฏิกิริยาเคมีโดยทั่วไปเมื่อมีการเพิ่มอุณหภูมิจะส่งผลให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้นแต่ในบางปฏิกิริยาอุณหภูมิก็ไม่มีส่วนที่จะทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้นเช่นปฏิกิริยาระหว่างไฮโดรเจนไอออนและไฮดรอกไซด์ไอออนในปฏิกิริยาสะเทิน (ปฏิกิริยาสะเทินปฏิกิริยา) การอธิบายว่าอุณหภูมิเป็นปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาต้องใช้ทฤษฎีการชนและกราฟการแจกแจงพลังงานของอนุภาคของแมกซ์เวลโบลซ์มันน์ดังนี้การแจกแจงพลังงานของอนุภาคของแมกซ์เวล-โบลซ์มันน์ อนุภาคในพื้นที่ใต้กราฟทางด้านขวาของพลังงานก่อกัมมันต์เท่านั้นที่มีโอกาสชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาเพราะเป็นอนุภาคที่มีพลังงานสูงส่วนอนุภาคในพื้นที่ใต้กราฟทางด้านซ้ายของพลังงานก่อกัมมันต์ซึ่งเป็นอนุภาคส่วนใหญ่จะมีโอกาสชนกันได้แต่ไม่มีพลังงานมากพอที่จะเกิดปฏิกิริยาถ้าลองสร้างกราฟการแจกแจงพลังงานของอนุภาคเมื่อให้ความร้อนแก่สารในปฏิกิริยาเปรีย
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
(rate of chemical reaction)
อัตราการเกิดปฏิกิริยา (reaction rate, r) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารตั้งต้นหรือสารผลิตภัณฑ์เมื่อเวลาเปลี่ยนไป

ความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของสารตั้งต้นและสารผลิตภัณฑ์กับเวลา
ในขณะที่เกิดปฏิกิริยาโมเลกุลของสารตั้งต้นก็จะเปลี่ยนเป็นสารผลิตภัณฑ์ ทำให้ความเข้มข้นของสารตั้งต้นลดลง ส่วนความเข้มข้นของสารผลิตภัณฑ์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราจึงสามารถติดตามการดำเนินไปของปฏิกิริยาได้จาก
• การวัดความเข้มข้นที่ลดลงของสารตั้งต้น
• การวัดความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นของสารผลิตภัณฑ์
หมายเหตุ ในการวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยามีสิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ
1. ต้องทำการผสมสาร (เขย่า) ด้วยความสม่ำเสมอ
2. เมื่อผสมสารเสร็จต้องรีบทำการวัดทันที
3. การผสมสารด้วยมือ จะหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเริ่มต้น (initial rate) จริงๆ ได้ ยากมากเพราะเมื่อผสมสารด้วยมือเสร็จแล้วทำการวัด ก็หมายความว่า เวลาได้ผ่านไปแล้วอย่างน้อย 3 วินาที
4. ต้องทำการทดลองที่ความเข้มข้นต่ำๆ ตั้งแต่ระดับมิลลิโมลาร์ (mM) ลงมา



พิจารณาปฏิกิริยา


ถ้าแทนความเข้มข้นของสารในปฏิกิริยา คือ [A], [B] และ [C] เราจะสามารถหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้จาก
อัตราการเกิดของสารผลิตภัณฑ์ C
อัตราการลดลงของสารตั้งต้น A หรือ B ตัวใดตัวหนึ่ง
( อัตราการลดลงใส่เครื่องหมายลบ )


ตัวอย่างที่ 1 การสลายตัวของ H2O2 ได้เป็น O2 และ H2O
อัตราการเกิดปฏิกิริยา คือ


จะได้ว่า


พิจารณาปฏิกิริยา

จะได้ว่า
อัตราการเกิดสารผลิตภัณฑ์ C = 3 x (อัตราการลดลงของสารตั้งต้น A)
อัตราการเกิดปฏิกิริยา คือ

ตัวอย่างที่ 2 จากปฏิกิริยาการสลายตัวของ NOBr พบว่า อัตราการเกิด NO มีค่าเท่ากับ 1.6 x 10-4 mol L-1 s-1 จงคำนวณอัตราการเกิดปฏิกิริยา และอัตราการลดลงของ NOBr ?


วิธีคิด
จากสมการเคมี จะได้ว่า

ดังนั้น อัตราการเกิดปฏิกิริยา หาได้จาก


อัตราการเกิดปฏิกิริยา มีค่าเท่ากับ 8.0 x 10-5 mol L-1 s-1
และเนื่องจาก อัตราการลดลงของ NOBr เป็น 2 เท่าของอัตราการเกิดปฏิกิริยา จึงได้ว่า




เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะต่าง ๆ ของปฏิกิริยา เช่น อุณหภูมิ หรือความเข้มข้น นักเรียนคิดว่า อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? จากการทดลองพบว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอัตราการเกิดปฏิกิริยามี 6 ปัจจัย ดังนี้
1. ธรรมชาติของสารทำปฏิกิริยา
2. ความเข้มข้นของสารทำปฏิกิริยา
3. ความดันของสารทำปฏิกิริยา
4. อุณหภูมิ
5. ตัวเร่งปฏิกิริยา
6. พื้นที่ผิว



สารแต่ละชนิดมีสมบัติในการทำปฏิกิริยาเร็ว - ช้าแตกต่างกัน เช่น
ธาตุไนโตรเจนเฉื่อยต่อปฏิกิริยามากจึงไม่ค่อยทำปฏิกิริยากับสารใด
โลหะโซเดียมทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับน้ำ เกิดประกายไฟและแก๊สไฮโดรเจน ในขณะที่โลหะแมกนีเซียมเกิดปฏิกิริยากับน้ำอย่างช้า ๆ ดังรูปแสดงการทดลองต่อไปนี้
ในบีกเกอร์ทั้งสองใบมีน้ำที่หยดสารละลายฟีนอล์ฟทาลีนเอาไว้แล้ว จะสังเกตได้ว่าน้ำยังคงไม่มีสี (เพราะเหตุใด) ทีนี้ลองใส่ก้อนโลหะโซเดียม (ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว) และแผ่นโลหะแมกนีเซียม (ขนาด 0.5 x 1.0 cm2) ลงไปซิ







ปฏิกิริยาของโลหะโซเดียม (Na) กับน้ำ ปฏิกิริยาของแผ่นโลหะแมกนีเซียม (Mg) กับน้ำ
(เมื่อมีฟีนอล์ฟทาลีนอยู่) (เมื่อมีฟีนอล์ฟทาลีนอยู่)

สมการการเกิดปฏิกิริยาเป็นดังนี้



ปฏิกิริยาในสองบีกเกอร์ต่างกันที่ใช้ Na หรือ Mg เท่านั้น แสดงว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับธรรมชาติของสารตั้งต้น



ปฏิกิริยาส่วนใหญ่เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาก็มักจะเพิ่มขึ้น มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องทราบก็คือ อัตราการเกิดปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นสัดส่วนกับความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นเสมอไป การที่จะระบุว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด ได้มาจากการทดลองเท่านั้น
กรณีที่ 1: การเพิ่มความเข้มข้นมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา
การเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นในปฏิกิริยาก็เท่ากับการเพิ่มอนุภาคของสารที่เข้าทำปฏิกิริยา เมื่อมีอนุภาคของสารมากขึ้น โอกาสที่จะชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย
ตัวอย่างปฏิกิริยา









ความดัน (pressure) ความเข้มข้นของแก๊สมักจะใช้การเปลี่ยนความดันเพื่อเปลี่ยนแปลงความเข้มข้น ในเมื่อการเปลี่ยนแปลงความดันเปรียบเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้น ดังนั้นความดันจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา
• ทำไมการเพิ่มความดันของแก๊สจึงเหมือนกับการเพิ่มความเข้มข้น
ให้พิจารณาสมการ
ลองเปลี่ยนรูปสมการนี้ใหม่
n คือจำนวนโมล และ V คือปริมาตร ดังนั้น n/V ก็คือความเข้มข้น และพบว่าในเทอม RT จะคงที่ตราบใดที่ T คงที่ เมื่อ n/V คือความเข้มข้น ดังนั้นความดัน (P) จึงเป็นแปรผันตรงกับความเข้มข้น (n/V) นั่นเอง (นักเรียนสามารถศึกษาเรื่องความดันเพิ่มเติมได้ในเรื่อง "แก๊ส")



การเพิ่มอุณหภูมิเป็นสภาวะที่สามารถเพิ่มการชนได้ เพราะเมื่อเพิ่มอุณหภูมิหรือให้ความร้อนแก่สารในปฏิกิริยา อนุภาคจะมีพลังงานจลน์เพิ่มขึ้น จะเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น ชนกันมากขึ้น โอกาสที่จะชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาก็จะมีมากขึ้น เมื่อเกิดปฏิกิริยามากขึ้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาก็เพิ่มขึ้นนั่นเอง
ปฏิกิริยาเคมีโดยทั่วไปเมื่อมีการเพิ่มอุณหภูมิจะส่งผลให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น แต่ในบางปฏิกิริยาอุณหภูมิก็ไม่มีส่วนที่จะทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น เช่น ปฏิกิริยาระหว่างไฮโดรเจนไอออนและไฮดรอกไซด์ไอออนในปฏิกิริยาสะเทิน(neutralization reaction) เป็นต้น
การอธิบายว่าอุณหภูมิเป็นปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา ต้องใช้ทฤษฎีการชน และกราฟการแจกแจงพลังงานของอนุภาคของแมกซ์เวล-โบลซ์มันน์ ดังนี้







การแจกแจงพลังงานของอนุภาคของแมกซ์เวล-โบลซ์มันน์
อนุภาคในพื้นที่ใต้กราฟทางด้านขวาของพลังงานก่อกัมมันต์เท่านั้นที่มีโอกาสชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาเพราะเป็นอนุภาคที่มีพลังงานสูง ส่วนอนุภาคในพื้นที่ใต้กราฟทางด้านซ้ายของพลังงานก่อกัมมันต์ซึ่งเป็นอนุภาคส่วนใหญ่จะมีโอกาสชนกันได้แต่ไม่มีพลังงานมากพอที่จะเกิดปฏิกิริยา ถ้าลองสร้างกราฟการแจกแจงพลังงานของอนุภาคเมื่อให้ความร้อนแก่สารในปฏิกิริยาเปรีย
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
( อัตราของปฏิกิริยา )
อัตราการเกิดปฏิกิริยา ( อัตราปฏิกิริยา R )

หมายถึงการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารตั้งต้นหรือสารผลิตภัณฑ์เมื่อเวลาเปลี่ยนไปความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของสารตั้งต้นและสารผลิตภัณฑ์กับเวลา
ในขณะที่เกิดปฏิกิริยาโมเลกุลของสารตั้งต้นก็จะเปลี่ยนเป็นสารผลิตภัณฑ์ทำให้ความเข้มข้นของสารตั้งต้นลดลงส่วนความเข้มข้นของสารผลิตภัณฑ์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆบริการการวัดความเข้มข้นที่ลดลงของสารตั้งต้น
-
หมายเหตุการวัดความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นของสารผลิตภัณฑ์ในการวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยามีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงความ
1 ต้องทำการผสมสาร ( เขย่า ) ด้วยความสม่ำเสมอ
2เมื่อผสมสารเสร็จต้องรีบทำการวัดทันที
3 การผสมสารด้วยมือจะหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเริ่มต้น ( ค่าเริ่มต้น ) จริงๆได้ยากมากเพราะเมื่อผสมสารด้วยมือเสร็จแล้วทำการวัดก็หมายความว่าเวลาได้ผ่านไปแล้วอย่างน้อยวินาที
34 . ต้องทำการทดลองที่ความเข้มข้นต่ำๆตั้งแต่ระดับมิลลิโมลาร์ ( มม. ) ลงมา






ถ้าแทนความเข้มข้นของสารในปฏิกิริยาความพิจารณาปฏิกิริยา [ ] , [ b ] และ [ C ] เราจะสามารถหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้จาก
อัตราการเกิดของสารผลิตภัณฑ์ C
อัตราการลดลงของสารตั้งต้นเป็นค็อค B ตัวใดตัวหนึ่ง
( อัตราการลดลงใส่เครื่องหมายลบ )


ตัวอย่างที่ 1 การสลายตัวของ H2O2 ได้เป็น O2 และ H2O
อัตราการเกิดปฏิกิริยาความ





จะได้ว่าพิจารณาปฏิกิริยา

จะได้ว่า
อัตราการเกิดสารผลิตภัณฑ์ c = 3 x ( อัตราการลดลงของสารตั้งต้น )

อัตราการเกิดปฏิกิริยาความตัวอย่างที่ 2 จากปฏิกิริยาการสลายตัวของ nobr พบว่าอัตราการเกิดไม่มีค่าเท่ากับ 16 x 10-4 mol L-1 ที่สุดจงคำนวณอัตราการเกิดปฏิกิริยาและอัตราการลดลงของ nobr ?





ดังนั้นวิธีคิดจากสมการเคมีจะได้ว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาหาได้จาก


อัตราการเกิดปฏิกิริยามีค่าเท่ากับ 8.0 x 10-5 โมล L-1 ที่สุด
และเนื่องจากอัตราการลดลงของ nobr เป็น 2 เท่าของอัตราการเกิดปฏิกิริยาจึงได้ว่า




เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะต่างจะของปฏิกิริยาเช่นอุณหภูมิหรือความเข้มข้นนักเรียนคิดว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ?จากการทดลองพบว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอัตราการเกิดปฏิกิริยามี 6 ปัจจัยดังนี้
1 ธรรมชาติของสารทำปฏิกิริยา
2 ความเข้มข้นของสารทำปฏิกิริยา
3 ความดันของสารทำปฏิกิริยา
4 อุณหภูมิ
5 ตัวเร่งปฏิกิริยา
6พื้นที่ผิว





สารแต่ละชนิดมีสมบัติในการทำปฏิกิริยาเร็ว - ช้าแตกต่างกันเช่นธาตุไนโตรเจนเฉื่อยต่อปฏิกิริยามากจึงไม่ค่อยทำปฏิกิริยากับสารใดโลหะโซเดียมทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับน้ำเกิดประกายไฟและแก๊สไฮโดรเจนในขณะที่โลหะแมกนีเซียมเกิดปฏิกิริยากับน้ำอย่างช้าจะดังรูปแสดงการทดลองต่อไปนี้
ในบีกเกอร์ทั้งสองใบมีน้ำที่หยดสารละลายฟีนอล์ฟทาลีนเอาไว้แล้วจะสังเกตได้ว่าน้ำยังคงไม่มีสี ( เพราะเหตุใด ) ทีนี้ลองใส่ก้อนโลหะโซเดียม ( ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ) และแผ่นโลหะแมกนีเซียม ( Friday ' 0.5 x 1.0 ตร. ซม. ) ลงไปซิ







ปฏิกิริยาของโลหะโซเดียม ( นา ) กับน้ำปฏิกิริยาของแผ่นโลหะแมกนีเซียม ( มิลลิกรัม ) กับน้ำ
( เมื่อมีฟีนอล์ฟทาลีนอยู่ ) ( เมื่อมีฟีนอล์ฟทาลีนอยู่ )





สมการการเกิดปฏิกิริยาเป็นดังนี้ปฏิกิริยาในสองบีกเกอร์ต่างกันที่ใช้ na ค็อคมิลลิกรัมเท่านั้นแสดงว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับธรรมชาติของสารตั้งต้น



ปฏิกิริยาส่วนใหญ่เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาก็มักจะเพิ่มขึ้นมีส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องทราบก็คือการที่จะระบุว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงไปเท่าใดได้มาจากการทดลองเท่านั้น
กรณีที่การเพิ่มความเข้มข้นมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา
1การเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นในปฏิกิริยาก็เท่ากับการเพิ่มอนุภาคของสารที่เข้าทำปฏิกิริยาเมื่อมีอนุภาคของสารมากขึ้นโอกาสที่จะชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย




ตัวอย่างปฏิกิริยา





ความดัน ( ความดัน ) ความเข้มข้นของแก๊สมักจะใช้การเปลี่ยนความดันเพื่อเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นในเมื่อการเปลี่ยนแปลงความดันเปรียบเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นบริการทำไมการเพิ่มความดันของแก๊สจึงเหมือนกับการเพิ่มความเข้มข้น


ให้พิจารณาสมการลองเปลี่ยนรูปสมการนี้ใหม่N คือจำนวนโมลและ V คือปริมาตรดังนั้น N / V ก็คือความเข้มข้นและพบว่าในเทอม RT จะคงที่ตราบใดที่ T คงที่เมื่อ N / V คือความเข้มข้นดังนั้นความดัน ( P ) จึงเป็นแปรผันตรงกับความเข้มข้น ( N / V ) นั่นเอง" แก๊ส
" )


การเพิ่มอุณหภูมิเป็นสภาวะที่สามารถเพิ่มการชนได้เพราะเมื่อเพิ่มอุณหภูมิหรือให้ความร้อนแก่สารในปฏิกิริยาอนุภาคจะมีพลังงานจลน์เพิ่มขึ้นจะเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นชนกันมากขึ้นเมื่อเกิดปฏิกิริยามากขึ้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาก็เพิ่มขึ้นนั่นเอง
ปฏิกิริยาเคมีโดยทั่วไปเมื่อมีการเพิ่มอุณหภูมิจะส่งผลให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้นแต่ในบางปฏิกิริยาอุณหภูมิก็ไม่มีส่วนที่จะทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้นเช่นปฏิกิริยา ) เป็นต้น
การอธิบายว่าอุณหภูมิเป็นปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาต้องใช้ทฤษฎีการชนและกราฟการแจกแจงพลังงานของอนุภาคของแมกซ์เวล - โบลซ์มันน์ดังนี้







การแจกแจงพลังงานของอนุภาคของแมกซ์เวล - โบลซ์มันน์
อนุภาคในพื้นที่ใต้กราฟทางด้านขวาของพลังงานก่อกัมมันต์เท่านั้นที่มีโอกาสชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาเพราะเป็นอนุภาคที่มีพลังงานสูงถ้าลองสร้างกราฟการแจกแจงพลังงานของอนุภาคเมื่อให้ความร้อนแก่สารในปฏิกิริยาเปรีย
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: