ความหนาวเหน็บที่ฉันสามารถรับรู้ได้ ผิวหนังและใบหน้าของฉันที่เย็นเฉียบ เสียงลมพัดหวีดหวิวและเสียงสัตว์ป่าที่ออกหากินยามวิกาลทำให้ฉันค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆและกอดตัวเองไว้เพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บ และฉันพยายามปรับสายตาให้สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ถึงแม้ว่าเวลานี้มันจะเป็นช่วงเวลากลางคืน ฉันก็ค่อยๆกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างช้า และฉันก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้ ฉันอุทานออกมาด้วยเสียงอันดังและปนไปด้วยความตกใจว่า “ ป่า!! ฉันพยายามคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นสมองของฉันตอนนี้กำลังเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์แต่ฉันกลับนึกไม่ออกสมองของฉันมันว่างเปล่าและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาที่นี่ได้อย่างไรที่สำคัญฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่คือที่ไหนและมันส่วนไหนของโลกใบนี้.
ป่าอย่างนั้นหรอ? เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่? ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ? ฉันทำได้แค่พึมพำเบาๆวกไปวนมากับคำถามเดิมๆราวกับคนเสียสติ ฉันถามหาคำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน แม้มันจะไม่มีคำตอบใดใดให้กับฉันก็ตาม
ที่นี่คือป่า…ป่าที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิดมีเพียงเสียงของสัตว์ป่าที่ส่งเสียงดังระงมและมีต้นไม้ขนาดใหญ่มากมายที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมอยู่เหนือทุกๆพื้นที่ประกอบกับอากาศที่เย็นยะเยือกซึ่งมันทำให้บรรยากาศที่นี่ดูน่ากลัวและไม่ควรเข้ามาเลยด้วยซ้ำ ใช่แล้ว!ฉันควรออกไปจากที่นี่.
หลังจากที่ฉันคิดว่าควรออกไปจากที่นี่ฉันจึงเริ่มออกเดินทางไปเรื่อยๆในเส้นทางที่มีเพียงความมือและแสงจากจากพระจันทร์ที่ส่องแสงรำไรรอดหมู่แมกไม้มาเพียงเล็กน้อยฉันฉันไม่มีรู้เส้นทางมีเพียงความคิดเดียวในสมองของฉันคือออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ฉันรู้สึกเหมือนฉันเดินลึกเข้าไปในป่านั้นมากกว่าที่ฉันจะพบทางออกเมื่อฉันคิดได้ดังนั้นฉันจึงคิดว่าจะเปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินไปอีกทางหนึ่งฉันกลับเห็นแสงไฟที่ส่องสว่างมาจากอีกทางหนึ่งฉันคิดว่านั่นล่ะน่าจะเป็นทางออกไปจากป่านี้ฉันจึงรีบสาวเท้าไปตามแสงไฟนั้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล.
เวลานี้หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความหวังและเดินตามแสงไฟนั้นไปยิ่งฉันเดินเข้าไปมากเท่าไรความสว่างนั้นก็เจิดจ้ามากขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องและเสียงเคาะไม้ก็ดังแว่วเข้ามาเมื่อฉันเดินเข้าไปมากเท่าไรเสียงเหล่านั้นมันก็ดังมากขึ้น มันทำให้ฉันเริ่มคิดว่าทางนี้มันอาจจะไม่ใช่ทางออกความรู้สึกลังเลเริ่มเข้ามาแต่ฉันก็ยังคงก้าวเข้าไปหาสิ่งที่ฉันเห็นและได้ยินเมื่อฉันเดินเข้าไปและแอบอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ๆกับมนุษย์เหล่านั้นที่แต่งตัวแปลกๆบางคนกำลังกระโดดโลดเต้นอย่างบ้าคลั่งเหมือนพอใจในอะไรบางอย่าง บางคนกำลังกิน บางคนกำลังคุยกันหรือทะเลาะกันฉันก็ไม่แน่ใจถ้าให้ฉันเดาท่าทางเหล่านั้นมันคือการทะเลาะกันซะมากกว่าเพราะแม้แต่ภาษาฉันก็ไม่เคยได้ยินและยิ่งไปกว่านั้นการกระทำป่าเถื่อนและโหดร้ายที่เห็นมันทำให้ฉันแน่ใจว่าฉันต้องออกไปจากตรงนี้.
ฉันกำลังก้าวออกจากที่แห่งนั้นแต่ทันใดนั้นฉันกลับพลาดเหยียบอะไรบางอย่างจนเกิดเสียงดังวินาทีนั้นพวกมันหันมาทางฉันประดุจว่าฉันคือผู้บุกรุกและมีใครคนหนึ่งในหมู่ของพวกมันตะโกนราวกับพูดว่า “ฆ่ามัน!!!!” ฉันไม่รีรออะไรอีกฉันรีบผละตัวเองออกจากที่หลบซ่อนที่บัดนี้มันไม่สามารถใช้อำพรางตัวได้อีกแล้วฉันสาวเท้าวิ่งโดยไม่ต้องคิดอะไรอีกมีเพียงความคิดเดียวคือ หนี ฉันต้องหนีฉันจะไม่ยอมตายที่นี่ ในขณะที่ฉันวิ่งฉันรับรู้ได้ว่ามันตามฉันมาทั้งลูกดอก,หอกและอาวุธอื่นๆที่พวกมันมีถูกพุ่งมาทางร่างฉันโชคดีที่ฉันหลบทันและฉันวิ่งสุดกำลังเท่าที่ฉันสามารถจะวิ่งได้จนบัดนี้มันแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะก้าวเท้าต่อไปหูของฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกมันที่มีจำนวนมากกว่า100 ที่ไล่ตามฉันมาและใกล้จะทันฉันแล้วฉันพยายามฝืนร่างกายตัวเองให้วิ่งแต่แล้วฉันก็ถูกอะไรบางอย่างร่างชนอย่างแรงจนร่างของฉันกระเด็นไปตามแรงกระแทกพร้อมกับสติของฉันที่ขาดหายไป….
เสียงเครื่องยนต์ที่เคลื่อนที่ตลอดเวลาที่ฟังแล้วดูวุ่นวายและแสงแดดที่ร้อนจ้าส่องกระทบผิวจบรู้สึกแสบ เปลือกตาของฉันค่อยๆลืมขึ้นพร้อมกับภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้ฉันตกใจและพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่าว่า “นี่มันอะไรกัน? ทำไมฉันถึงได้มานอนอยู่ตรงนี้” ฉันพยุงตัวเองขึ้นและเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์มากมาย ทุกคนต่างรีบเร่งฉันยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าและคุ้นเคยกับมันดีทั้งสภาพบ้านเมือง รถ และสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างมันคือที่ที่ฉันอยู่มาตลอด20ปีหรือพูดง่ายว่าฉันอยู่มาตั้งแต่ฉันเกิดฉันเดินไปตางทางเดินเรื่อยๆและเจอท่ารถเมล์ที่มีรถเมล์จอดเต็มไปหมดฉันมองไปที่รถเมล์สายที่ฉันคุ้นเคยเป็นรถเมล์สายที่ฉันใช้เดินทางไปทำเรียนทุกๆวันฉันเดินตรงไปขึ้นทันทีเมื่อฉันกำลังจะขึ้นรถเมล์ฉันก็ต้องตกใจเมื่อมีกลุ่มชนเผ่าที่ฉันวิ่งหนีมาตลอดทั้งคืนนั่งบนรถเมล์เต็มไปหมดเพียงแต่ไม่มีใครสนใจฉันราวกับว่าฉันไม่มีตัวตนเมื่อฉันมองออกไปนอกหน้าต่างรถเมล์ก็เห็นชนเผ่าเหล่านี้เดินขวักไขว่เต็มไปหมดฉันยืนมองดูการกระทำต่างๆที่เกิดขึ้นและฉันก้อเห็นว่าพวกมันต่างคนจะต่างแย่งกันที่จะทำเรื่องส่วนตัวของตัวเองโดยไม่สนใจใครไม่มีคำว่าเสียสละฉันมองไปรอบๆก็เห็นการกระทำแย่ๆเห็นกระทำที่น่ารังเกียจต่างๆบ้างเห็นแก่ตัวเอาตัวรอดไม่มีใครยอมเสียเปรียบ บ้างก็มีการแบ่งพรรคพวก และบ้างมีการทะเลาะวิวาทฉันสบถด่าพวกมันอยู่ในใจและรีบลงจากรถเมล์คันนั้นขณะที่ฉันกำลังจะออกไปจากที่นั่นอยู่ดีๆสายตาของพวกมันทั้งหมดกับจ้องมาที่ฉันซึ่งฉันไม่สามารถหลบสายตาพวกมันได้ราวกับว่าฉันอยู่ในภวังค์และเหตุการณ์ทั้งหมดที่เห็นพวกมันทำก็ซ้อนทับกับการกระทำที่พวกเราทำยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบทุกการกระทำฉันไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นเพราะเวลานี้สติของฉันมันกำลังจะขาดหายไปอีกครั้ง…….
(เสียงนาฬิกาปลุก) ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อและพบว่าตัวของฉันเวลานี้กำลังนั่งอยู่บนเตียงภายในห้องสีฟ้าที่ถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบง่ายและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆพร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบฉันมองดูสถานท